1. ไถดินลึก 30-40 เซนติเมตร 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งตากดินทิ้งไว้ 2-3 สัปดาห์
2. เก็บวัชพืชออก ถ้าดินมี pH ต่ำและมีลักษณะแน่นเป็นปึก น้ำซึมผ่านได้ยาก ให้ปรับสภาพของดินโดยใช้ สารปรับสภาพดิน “ไดนาไมท์” ผสมน้ำตามอัตราที่ระบุในฉลาก รดหรือฉีดพ่นบริเวณผิวดินทั่วแปลงแล้วรดน้ำตามทันที ทิ้งไว้ 1-2 สัปดาห์ จึงใส่ปุ๋ยรองพื้นตามปกติ
ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ในพริก |
การเพาะกล้า
1. ใช้แปลงเพาะกว้าง 1 เมตร ยาว 5-10 เมตร
2. ขุดพลิกดินตากดินไว้ 2-3 สัปดาห์ ย่อยดิน ใส่ปุ๋ยคอกและแกลบเผาอย่างละ 10-20 กิโลกรัมต่อแปลง คลุกเคล้าให้เข้ากันจนร่วนซุย
3. เกลี่ยดินให้เรียบแล้วเพาะเมล็ดในอัตรา 50 กรัม ต่อพื้นที่ปลูกพริก 1 ไร่ โดยโรยเมล็ดเป็นแถวตามความกว้างของแปลงลึก 0.5 เซนติเมตร แต่ละแถวห่างกัน 10 เซนติเมตร
4. กลบดินบาง ๆ เสมอพื้นดินผิวดินเดิมแล้วใช้ฟางข้าวคลุมแปลงบาง ๆ รดน้ำ ราดตามหรือฉีดพ่นผิวดิน(พอเปียก)ด้วยไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) ในอัตรา 1 ลิตรต่อน้ำ 200 ลิตร เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต ป้องกันเชื้อราและยังช่วยป้องกันมดหรือแมลงมากัดกินเมล็ด
5. ในช่วงที่อากาศร้อนและแดดจัด ควรหาวัสดุให้ร่มเง่า เช่น สะแลน ไว้สำหรับเป็นร่มเงาให้พริกที่เพิ่งเพาะในระยะแรก เพื่อให้มีเปอร์เซ็นต์การงอกดีขึ้น
6. เมื่อกล้างอกขึ้นมาเหนือพื้นดินแล้ว ค่อย ๆ ดึงฟางออกให้บางลง เพื่อกล้าจะเจริญเติบโตดี
7. การโรยเมล็ดถ้าเป็นการปลูกโดยการย้ายกล้าจากแปลงเพาะไปปลูกในแปลงโดยตรงโดยไม่ย้ายกล้าลงถุง พลาสติก ควรโรยเมล็ดให้มีระยะห่างเพิ่มขึ้น แต่ละเมล็ดควรห่างกัน 0.50 เซนติเมตร เมื่อกล้าโตมีใบจริง 4-5 ใบ ควรพ่นสารเคมีป้องกันและกำจัดแมลงอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
หมายเหตุ เมล็ดพันธุ์ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ควรคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดี จากต้นที่มีผลผลิตมาก และอายุการให้ผลผลิตนาน และต้องไม่ใช้เมล็ดพันธุ์จากต้นที่เป็นโรคอยู่ก่อนแล้ว
ระยะปลูก
- ถ้าเป็นการปลูกแถวเดี่ยว ระยะห่างระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระหว่างแถว 100 เซนติเมตร ถ้าปลูกเป็นแถวคู่ ใช้ระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถวคู่ 120 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถว 80 เซนติเมตร
ลักษณะการจัดแถวปลูกพริก |
วิธีการปลูก
- ยกแปลงให้สูงขึ้น 10 เซนติเมตร
- ขุดหลุมตามระยะปลูกลึก 20 เซนติเมตร
- ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) รองพื้นประมาณ 30-40 กิโลกรัมต่อไร่
- นำกล้าที่มีอายุประมาณ 1 เดือน มาปลูก รดน้ำให้ชุ่มทันทีหลังจากปลูก หลังจากนั้น ฉีดพ่นไบโอเฟอร์ทิล อัตรา 1 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร บริเวณดินในแปลงปลูกพอเปียก เพื่อให้กล้าฟื้นตัวเร็ว และปรับสภาพดิน กรดฮิวมิคจะช่วยให้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เจริญเติบโตได้ดี กรดแลคติกในไบโอเฟอร์ทิลจะช่วยป้องกันเชื้อราได้ส่วนหนึ่ง
- ควรทำร่องระบายน้ำทุก 15 แถว แถวพริกไม่ควรยาวเกิน 15 เมตร เพื่อสะดวกในการดูแลรักษา
- กล้าที่ใช้ปลูกควรเลือกต้นกล้าที่มีลักษณะดี ปราศจากโรคและแมลง
การใส่ปุ๋ย
ทางดิน
- ก่อนย้ายกล้าลงปลูก 1-2 วัน ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) รองพื้น ในอัตรา 40-50 กิโลกรัมต่อไร่
- หลังย้ายกล้าลงปลูก 30 วัน ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว ปุ๋ยอินทรีย์ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) รองพื้น ในอัตรา 40-50 กิโลกรัมต่อไร่
- หลังจากย้ายกล้าลงปลูก ประมาณ 60 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 40 กิโลกรัมต่อไร่ หรือลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตโดย ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว ในอัตรา 40-50 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 25-7-7 อัตรา 10-15 กก.ต่อไร่+ ปุ๋ยอินทรีย์ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) อัตรา 20-30 กก.ต่อไร่ ประมาณ 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 20 วัน
- เมื่อพริกเริ่มให้ผลผลิตใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 25-7-7 หรือ 15-15-15 อัตรา 15-20 กิโลกรัมต่อไร่ + ปุ๋ยอินทรีย์ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) อัตรา 20-30 กก.ต่อไร่ ทุก ๆ 2-3 สัปดาห์
หมายเหตุ ควรสังเกต ต้นและผลผลิต เพื่อปรับเปลี่ยนเพิ่มหรือลดปริมาณปุ๋ยที่แนะนำ ให้ต้นได้รับปุ๋ยอย่างเพียงพอ
เมื่อใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียวเป็นประจำ สามารถหยุดการใช้ แคลเซียม-โบรอนทางใบ ได้ในทุกช่วง
ผลผลิตมาก น้ำหนักดี กับต้นที่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม |
ทางใบ
- ฉีดพ่น ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) อัตรา 30-40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก ๆ 7-10 วัน ดอกพริกจะติดดก ขั้วเหนียวต้นแข็งแรงทำให้เก็บผลผลิตได้นาน โดยต้นไม่โทรม ผลผลิตได้น้ำหนักดีกว่า และเมื่อใช้ตามคำแนะนำเป็นประจำจะช่วยลดและป้องกันการเข้าทำลายของโรคแอนแทรกโนส โรคเชื้อราอื่น แมลง และหนอนประเภทต่าง ๆ ช่วยลดต้นทุนการใช้สารเคมีได้มาก
- ในกรณีที่พริกแสดงอาการยอดขาว(เกิดเนื่องจากการขาดธาตุอาหารเสริม) ให้ฉีดพ่นธาตุอาหารเสริม “คีเลท” อัตราตามที่ฉลากระบุ ฉีดเสริมทุก ๆ 14-21 วัน
- ช่วงที่พริกเริ่มให้ผลผลิตแล้ว จะมีผลผลิตมาก อาจฉีดพ่นเสริมด้วย ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรเร่งขนาดผล) อัตรา 40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อให้ได้เม็ดพริกขนาดใหญ่(ในพริกพันธุ์เล็ก ใช้เพียงไบโอเฟอร์ทิลสูตรบำรุงต้น ไล่แมลง ก็เพียงพอ)
การให้น้ำ
- ในระยะแรกเมื่อปลูกลงแปลงควรให้น้ำทุกวัน เมื่อโตขึ้นให้สังเกตความชื้นของดิน ถ้าดินมีความอุ้มน้ำดีอาจเว้นระยะการให้น้ำได้หลายวัน
- ในกรณีที่ดินเสื่อมโทรม เพื่อปรับสภาพดิน และกระตุ้นการแตกราก ทำให้ทรงพุ่มจะใหญ่ แบกผลผลิตได้มาก ใช้ ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) อัตราส่วน 1 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร รดทางดิน หรือฉีดพ่นผิวดินบาง ๆ บริเวณรอบทรงพุ่ม ทุก ๆ 2-3 สัปดาห์(14-21 วัน) จะทำให้ พริกให้ผลผลิตมาก และเก็บได้นาน(หลายรอบ) โดยที่ต้นไม่โทรม
การคลุมดิน
ควรคลุมดินด้วยฟางข้าว เพื่อรักษาความชื้นของดินและลดการระเหยของน้ำ ไม่ควรใช้แกลบคลุมเพราะถ้าเกิดการพรวนดินกลบโคน แกลบจะเกิดการสลายตัว พริกจะชะงักการเจริญเติบโต ทำให้ ผลผลิตลดลงได้
การดูแลและป้องกันโรคและแมลง(แบบผสมผสาน)
โรคใบหงิก สาเหตุเกิดจาก แมลงศัตรูพืช 2 ชนิด คือเพลี้ยไฟ และไรขาว ปกติ ถ้าเพลี้ยไฟระบาดมาก จะมีไรขาวน้อย ถ้าพบไรขาวมากเพลี้ยไฟจะระบาดน้อย กรณีเป็นเพลี้ยไฟ (ลักษณะตัวสีแดง)หากพบการระบาด(2-5 ตัวต่อยอด)แนะนำให้ใช้ เมทา-แม็ก อัตราตามฉลาก ฉีดพ่นทุก 5-7 วัน หากเป็นไรขาวให้ฉีดพ่นด้วยกำมะถันผง อัตราตามฉลาก ฉีดพ่น โดยทิ้งระยะการฉีด 7 วัน ก่อนเก็บเกี่ยวผลสด
โรคแอนแทรกโนส,โรคกุ้งแห้ง (อาการผลเน่า ผลยุบแห้ง) โรคนี้สามารถติดไปกับเมล็ดพันธุ์ได้ ถ้าเป็นในระยะที่ไม่ออกผล ต้นจะไม่ให้ผลผลิตเลย ถ้าเป็นในระยะที่ให้ผลผลิต ผลพริกที่ได้จะไม่สมบูรณ์ การป้องกันแก้ไข แนะนำให้ใช้เมล็ดจากต้นที่ไม่เป็นโรคเพาะ และก่อนปลูกควรคลุกเมล็ดด้วยไตรโคแม็ก (ในแปลงที่เคยมีการระบาดแนะนำให้ปลูกพืชหมุนเวียนร่วมด้วย เพื่อตัดวงจรของเชื้อราซึ่งเป็นสาเหตุโรค) และช่วงเพาะปลูกให้ฉีดพ่นไบโอเฟอร์ทิลตามช่วงที่แนะนำเป็นประจำ เพื่อต้นสมบูรณ์แข็งแรง ป้องกันโรคที่จะเข้าทำลายเมื่อต้นพริกอ่อนแอ และโทรม หากในพื้นที่มีการระบาดมากทุก ๆ ปี ให้ฉีดพ่น ไตรโคแม็ก เพื่อควบคุมอัตราตามฉลาก เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันโรค
โรคที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก(อาการใบที่ยอดมีสีขาว ใบขนาดเล็ก และออกเป็นกระจุก) การป้องกันแก้ไข ใช้ปุ๋ยที่มีธาตุเหล็กฉีดเสริมทางใบ (เช่น คีเลท หรือ ออล-วัน100) ฉีดพ่นทุก ๆ 15 วัน
ศัตรูประเภทหนอน(หนอนเจาะผล, กินใบ) แนะนำให้ป้องกันก่อนด้วยการฉีดพ่น ไบโอเฟอร์ทิลตามช่วงที่แนะนำเป็นประจำ จะช่วยลดการระบาดและการเข้าทำลายได้กว่า 80%
หมายเหตุ โรคเชื้อราทางดินและทางใบนั้น สามารถป้องกันได้ก่อนโดยการเตรียมแปลงที่ดี (ปรับสภาพดินโดยการใช้ไดนาไมท์ผสมน้ำฉีดพ่น อัตรา 500 ซีซีต่อไร่ และปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว และใช้ไบโอเฟอร์ทิลฉีดพ่นตามที่แนะนำ) จะช่วยประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายเรื่องสารเคมีกำจัดได้กว่า 50 % อีกทั้งต้นยังแข็งแรง ไม่โทรม ต้านทานโรคและแมลงได้ดี ให้ผลผลิตต่อไร่สูงมาก และเก็บเกี่ยวได้นานหลายรอบ)
***สำหรับพื้นที่ที่ยังไม่เคยใช้ไบโอเฟอร์ทิล เมื่อโรคเชื้อรา(กุ้งแห้ง/แอนแทรคโนส)เข้าทำลายต้นและผลผลิตนั้น ให้รีบแก้ไขโดยใช้ไบโอเฟอร์ทิล สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง อัตรา 40 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทันที ทุก ๆ 3-5 วัน ประมาณ 3 ครั้ง สลับกับการใช้ ไตรโคแม็ก อัตราตามระบุข้างฉลาก ทุก ๆ 5-7 วัน ประมาณ 2-3 ครั้ง หลังจากนั้นจึงใส่ปุ๋ยทั้งทางดินและทางใบตามคำแนะนำตามปกติ ต้นจะแตกยอดใบและดอกชุดใหม่ ซึ่งชุดนี้จะมีผลผลิตที่ดีขึ้น และโรคเชื้อราที่เข้าทำลาย จะลดลง และให้ผลผลิตนานขึ้น
ข้อสังเกตและเปรียบเทียบหลังจากใช้ไบโอเฟอร์ทิล ตามคำแนะนำ เป็นประจำ
1. ต้นพริกจะสมบูรณ์ สามารถให้ผลผลิตมาก ขั้วเหนียว ดอกติดดกอย่างต่อเนื่อง ต้นไม่โทรมแม้แบกผลผลิตมาก
2. อายุการให้ผลผลิตของต้นพริกจะมากกว่าแปลงที่ไม่ได้ใช้อย่างเห็นได้ชัด
3. เม็ดพริกจะมีคุณภาพดี ขนาดใหญ่สม่ำเสมอกัน น้ำหนักต่อเม็ดมากกว่า ตั้งแต่ต้นถึงปลายช่วงของการเก็บเกี่ยว และสีผิวของเม็ดจะนวลเป็นมันกว่าสวนที่ไม่ได้ใช้
4. เมื่อใช้เป็นประจำ (3-4 ครั้งขึ้นไป) จะสังเกตได้ว่าแมลงศัตรูพืชที่เข้ามารบกวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจำพวกผีเสื้อกลางคืนซึ่งเป็นตัวแม่ของหนอนชนิดต่าง ๆ รวมถึงแมลงวันทอง และด้วงกัดกินใบ ทำให้ประหยัดต้นทุนยากำจัดศัตรูพืช และลดความเสียหายได้ดีกว่า (ในพื้นที่ที่มีการระบาดมาก หากใช้ไบโอเฟอร์ทิล ฉีดร่วมกับยากำจัดศัตรูพืช ก็จะทำให้สามารถคุมและป้องกันการเข้าทำลาย ได้นานขึ้น)
5. ใบพืชจะเขียวเงาเป็นมัน อายุใบนานขึ้นทำให้ต้นไม่สูญเสียอาหารในการสร้างใบใหม่ (ไบโอเฟอร์ทิล เป็นสารธรรมชาติ ไม่กัดผิวใบทำให้ใบด้านเหมือนการใช้เคมีอย่างเดียว)
6. สุขภาพผู้ปลูกดีขึ้น เนื่องจาก สัมผัสหรือจับต้องสารเคมีน้อยลง
7. เมื่อใช้ร่วมกับ ปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียว จะสามารถลดต้นทุน การใช้ปุ๋ยลงอีกประมาณ 20-50%
8. การใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ “ยักษ์เขียว” ร่วมด้วยเป็นประจำ จะทำให้ค่าใช้จ่ายต้นทุนปุ๋ยและสารทางดินต่อชุดการผลิต ลดลงได้ประมาณ 30-50 % โดยที่ผลผลิตที่ได้ยังเป็นปกติหรือดีกว่าเดิม และสังเกตได้ว่าสารอินทรีย์ในเนื้อปุ๋ยทำให้สภาพดินดีขึ้น ดินโปร่ง อุ้มน้ำได้ดี ต้นทนแล้งได้ดีขึ้น และพืชตอบสนองต่อการให้ปุ๋ยทางดินดีกว่าเดิม ในระยะยาวปัญหาเรื่องโรคทางดินน้อยกว่าแปลงข้างเคียงที่ไม่ได้ใช้ ผลในทางอ้อม เนื่องจาก ยักษ์เขียว เป็นสารอินทรีย์แท้ จึงกระตุ้นจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ให้ย่อยปุ๋ย(เคมี)ที่ตกค้างในดินทำให้รากพืชสามารถดูดซึมกลับไปใช้ได้ ธาตุอาหารในดินจะสมดุลมากกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น