วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คู่มือการปลูกพริก

 การเตรียมดิน

1.    ไถดินลึก 30-40 เซนติเมตร 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งตากดินทิ้งไว้ 2-3 สัปดาห์
2.    เก็บวัชพืชออก ถ้าดินมี pH ต่ำและมีลักษณะแน่นเป็นปึก น้ำซึมผ่านได้ยาก ให้ปรับสภาพของดินโดยใช้ สารปรับสภาพดิน ไดนาไมท์ ผสมน้ำตามอัตราที่ระบุในฉลาก รดหรือฉีดพ่นบริเวณผิวดินทั่วแปลงแล้วรดน้ำตามทันที  ทิ้งไว้ 1-2 สัปดาห์  จึงใส่ปุ๋ยรองพื้นตามปกติ
ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ในพริก
การเพาะกล้า
1.    ใช้แปลงเพาะกว้าง 1 เมตร ยาว 5-10 เมตร
2.    ขุดพลิกดินตากดินไว้ 2-3 สัปดาห์ ย่อยดิน ใส่ปุ๋ยคอกและแกลบเผาอย่างละ 10-20 กิโลกรัมต่อแปลง คลุกเคล้าให้เข้ากันจนร่วนซุย
3.    เกลี่ยดินให้เรียบแล้วเพาะเมล็ดในอัตรา 50 กรัม ต่อพื้นที่ปลูกพริก 1 ไร่ โดยโรยเมล็ดเป็นแถวตามความกว้างของแปลงลึก 0.5 เซนติเมตร แต่ละแถวห่างกัน 10 เซนติเมตร
4.    กลบดินบาง ๆ เสมอพื้นดินผิวดินเดิมแล้วใช้ฟางข้าวคลุมแปลงบาง ๆ รดน้ำ ราดตามหรือฉีดพ่นผิวดิน(พอเปียก)ด้วยไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) ในอัตรา 1 ลิตรต่อน้ำ 200 ลิตร เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต ป้องกันเชื้อราและยังช่วยป้องกันมดหรือแมลงมากัดกินเมล็ด
5.    ในช่วงที่อากาศร้อนและแดดจัด ควรหาวัสดุให้ร่มเง่า เช่น สะแลน ไว้สำหรับเป็นร่มเงาให้พริกที่เพิ่งเพาะในระยะแรก เพื่อให้มีเปอร์เซ็นต์การงอกดีขึ้น
6.     เมื่อกล้างอกขึ้นมาเหนือพื้นดินแล้ว ค่อย ๆ ดึงฟางออกให้บางลง เพื่อกล้าจะเจริญเติบโตดี
7.    การโรยเมล็ดถ้าเป็นการปลูกโดยการย้ายกล้าจากแปลงเพาะไปปลูกในแปลงโดยตรงโดยไม่ย้ายกล้าลงถุง พลาสติก ควรโรยเมล็ดให้มีระยะห่างเพิ่มขึ้น แต่ละเมล็ดควรห่างกัน 0.50 เซนติเมตร เมื่อกล้าโตมีใบจริง 4-5 ใบ ควรพ่นสารเคมีป้องกันและกำจัดแมลงอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
หมายเหตุ เมล็ดพันธุ์ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง  ควรคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดี  จากต้นที่มีผลผลิตมาก และอายุการให้ผลผลิตนาน  และต้องไม่ใช้เมล็ดพันธุ์จากต้นที่เป็นโรคอยู่ก่อนแล้ว 
ระยะปลูก
-  ถ้าเป็นการปลูกแถวเดี่ยว ระยะห่างระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระหว่างแถว 100 เซนติเมตร ถ้าปลูกเป็นแถวคู่ ใช้ระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถวคู่ 120 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถว 80 เซนติเมตร
ลักษณะการจัดแถวปลูกพริก
วิธีการปลูก
-          ยกแปลงให้สูงขึ้น 10 เซนติเมตร
-          ขุดหลุมตามระยะปลูกลึก 20 เซนติเมตร
-          ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) รองพื้นประมาณ 30-40 กิโลกรัมต่อไร่ 
-          นำกล้าที่มีอายุประมาณ 1 เดือน มาปลูก รดน้ำให้ชุ่มทันทีหลังจากปลูก หลังจากนั้น ฉีดพ่นไบโอเฟอร์ทิล อัตรา 1 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร บริเวณดินในแปลงปลูกพอเปียก  เพื่อให้กล้าฟื้นตัวเร็ว และปรับสภาพดิน กรดฮิวมิคจะช่วยให้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เจริญเติบโตได้ดี กรดแลคติกในไบโอเฟอร์ทิลจะช่วยป้องกันเชื้อราได้ส่วนหนึ่ง
-          ควรทำร่องระบายน้ำทุก 15 แถว แถวพริกไม่ควรยาวเกิน 15 เมตร เพื่อสะดวกในการดูแลรักษา
-          กล้าที่ใช้ปลูกควรเลือกต้นกล้าที่มีลักษณะดี ปราศจากโรคและแมลง
การใส่ปุ๋ย
ทางดิน
-          ก่อนย้ายกล้าลงปลูก 1-2 วัน  ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) รองพื้น ในอัตรา 40-50 กิโลกรัมต่อไร่
-          หลังย้ายกล้าลงปลูก  30 วัน  ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว ปุ๋ยอินทรีย์ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) รองพื้น ในอัตรา 40-50 กิโลกรัมต่อไร่
-          หลังจากย้ายกล้าลงปลูก ประมาณ 60 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15  อัตรา 40 กิโลกรัมต่อไร่  หรือลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตโดย ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว  ในอัตรา 40-50 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 25-7-7 อัตรา 10-15 กก.ต่อไร่+ ปุ๋ยอินทรีย์ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) อัตรา 20-30 กก.ต่อไร่ ประมาณ 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 20 วัน
-          เมื่อพริกเริ่มให้ผลผลิตใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 25-7-7  หรือ 15-15-15  อัตรา 15-20 กิโลกรัมต่อไร่ + ปุ๋ยอินทรีย์ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) อัตรา 20-30 กก.ต่อไร่ ทุก ๆ 2-3 สัปดาห์
หมายเหตุ ควรสังเกต ต้นและผลผลิต เพื่อปรับเปลี่ยนเพิ่มหรือลดปริมาณปุ๋ยที่แนะนำ  ให้ต้นได้รับปุ๋ยอย่างเพียงพอ
            เมื่อใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียวเป็นประจำ สามารถหยุดการใช้ แคลเซียม-โบรอนทางใบ ได้ในทุกช่วง
ผลผลิตมาก น้ำหนักดี กับต้นที่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม

ทางใบ
-          ฉีดพ่น ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) อัตรา  30-40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร  ทุก ๆ 7-10  วัน ดอกพริกจะติดดก ขั้วเหนียวต้นแข็งแรงทำให้เก็บผลผลิตได้นาน โดยต้นไม่โทรม  ผลผลิตได้น้ำหนักดีกว่า และเมื่อใช้ตามคำแนะนำเป็นประจำจะช่วยลดและป้องกันการเข้าทำลายของโรคแอนแทรกโนส โรคเชื้อราอื่น  แมลง และหนอนประเภทต่าง ๆ  ช่วยลดต้นทุนการใช้สารเคมีได้มาก
-          ในกรณีที่พริกแสดงอาการยอดขาว(เกิดเนื่องจากการขาดธาตุอาหารเสริม)  ให้ฉีดพ่นธาตุอาหารเสริม คีเลท อัตราตามที่ฉลากระบุ ฉีดเสริมทุก ๆ 14-21 วัน
-          ช่วงที่พริกเริ่มให้ผลผลิตแล้ว  จะมีผลผลิตมาก  อาจฉีดพ่นเสริมด้วย ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรเร่งขนาดผล) อัตรา 40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อให้ได้เม็ดพริกขนาดใหญ่(ในพริกพันธุ์เล็ก ใช้เพียงไบโอเฟอร์ทิลสูตรบำรุงต้น ไล่แมลง ก็เพียงพอ)

การให้น้ำ

-          ในระยะแรกเมื่อปลูกลงแปลงควรให้น้ำทุกวัน เมื่อโตขึ้นให้สังเกตความชื้นของดิน ถ้าดินมีความอุ้มน้ำดีอาจเว้นระยะการให้น้ำได้หลายวัน
-          ในกรณีที่ดินเสื่อมโทรม  เพื่อปรับสภาพดิน และกระตุ้นการแตกราก  ทำให้ทรงพุ่มจะใหญ่  แบกผลผลิตได้มาก  ใช้ ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง)  อัตราส่วน  1 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร  รดทางดิน หรือฉีดพ่นผิวดินบาง ๆ บริเวณรอบทรงพุ่ม ทุก ๆ 2-3  สัปดาห์(14-21 วัน)  จะทำให้ พริกให้ผลผลิตมาก และเก็บได้นาน(หลายรอบ) โดยที่ต้นไม่โทรม
การคลุมดิน
          ควรคลุมดินด้วยฟางข้าว เพื่อรักษาความชื้นของดินและลดการระเหยของน้ำ ไม่ควรใช้แกลบคลุมเพราะถ้าเกิดการพรวนดินกลบโคน แกลบจะเกิดการสลายตัว พริกจะชะงักการเจริญเติบโต ทำให้ ผลผลิตลดลงได้
การดูแลและป้องกันโรคและแมลง(แบบผสมผสาน)
โรคใบหงิก  สาเหตุเกิดจาก แมลงศัตรูพืช 2 ชนิด คือเพลี้ยไฟ และไรขาว  ปกติ ถ้าเพลี้ยไฟระบาดมาก จะมีไรขาวน้อย  ถ้าพบไรขาวมากเพลี้ยไฟจะระบาดน้อย กรณีเป็นเพลี้ยไฟ (ลักษณะตัวสีแดง)หากพบการระบาด(2-5 ตัวต่อยอด)แนะนำให้ใช้ เมทา-แม็ก  อัตราตามฉลาก  ฉีดพ่นทุก  5-7  วัน หากเป็นไรขาวให้ฉีดพ่นด้วยกำมะถันผง  อัตราตามฉลาก ฉีดพ่น  โดยทิ้งระยะการฉีด 7 วัน ก่อนเก็บเกี่ยวผลสด
 โรคแอนแทรกโนส,โรคกุ้งแห้ง (อาการผลเน่า ผลยุบแห้ง)  โรคนี้สามารถติดไปกับเมล็ดพันธุ์ได้  ถ้าเป็นในระยะที่ไม่ออกผล  ต้นจะไม่ให้ผลผลิตเลย ถ้าเป็นในระยะที่ให้ผลผลิต ผลพริกที่ได้จะไม่สมบูรณ์   การป้องกันแก้ไข  แนะนำให้ใช้เมล็ดจากต้นที่ไม่เป็นโรคเพาะ  และก่อนปลูกควรคลุกเมล็ดด้วยไตรโคแม็ก  (ในแปลงที่เคยมีการระบาดแนะนำให้ปลูกพืชหมุนเวียนร่วมด้วย  เพื่อตัดวงจรของเชื้อราซึ่งเป็นสาเหตุโรค)  และช่วงเพาะปลูกให้ฉีดพ่นไบโอเฟอร์ทิลตามช่วงที่แนะนำเป็นประจำ เพื่อต้นสมบูรณ์แข็งแรง  ป้องกันโรคที่จะเข้าทำลายเมื่อต้นพริกอ่อนแอ และโทรม  หากในพื้นที่มีการระบาดมากทุก ๆ ปี ให้ฉีดพ่น ไตรโคแม็ก  เพื่อควบคุมอัตราตามฉลาก  เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันโรค
โรคที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก(อาการใบที่ยอดมีสีขาว ใบขนาดเล็ก และออกเป็นกระจุก) การป้องกันแก้ไข  ใช้ปุ๋ยที่มีธาตุเหล็กฉีดเสริมทางใบ (เช่น คีเลท หรือ ออล-วัน100) ฉีดพ่นทุก ๆ 15 วัน
ศัตรูประเภทหนอน(หนอนเจาะผล, กินใบ)  แนะนำให้ป้องกันก่อนด้วยการฉีดพ่น  ไบโอเฟอร์ทิลตามช่วงที่แนะนำเป็นประจำ จะช่วยลดการระบาดและการเข้าทำลายได้กว่า 80%
หมายเหตุ  โรคเชื้อราทางดินและทางใบนั้น สามารถป้องกันได้ก่อนโดยการเตรียมแปลงที่ดี  (ปรับสภาพดินโดยการใช้ไดนาไมท์ผสมน้ำฉีดพ่น อัตรา 500 ซีซีต่อไร่  และปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว และใช้ไบโอเฟอร์ทิลฉีดพ่นตามที่แนะนำ) จะช่วยประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายเรื่องสารเคมีกำจัดได้กว่า 50 % อีกทั้งต้นยังแข็งแรง ไม่โทรม ต้านทานโรคและแมลงได้ดี ให้ผลผลิตต่อไร่สูงมาก และเก็บเกี่ยวได้นานหลายรอบ)
***สำหรับพื้นที่ที่ยังไม่เคยใช้ไบโอเฟอร์ทิล  เมื่อโรคเชื้อรา(กุ้งแห้ง/แอนแทรคโนส)เข้าทำลายต้นและผลผลิตนั้น ให้รีบแก้ไขโดยใช้ไบโอเฟอร์ทิล สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง อัตรา 40 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทันที ทุก ๆ 3-5 วัน ประมาณ 3 ครั้ง  สลับกับการใช้ ไตรโคแม็ก อัตราตามระบุข้างฉลาก ทุก ๆ 5-7 วัน ประมาณ 2-3 ครั้ง  หลังจากนั้นจึงใส่ปุ๋ยทั้งทางดินและทางใบตามคำแนะนำตามปกติ  ต้นจะแตกยอดใบและดอกชุดใหม่ ซึ่งชุดนี้จะมีผลผลิตที่ดีขึ้น และโรคเชื้อราที่เข้าทำลาย จะลดลง และให้ผลผลิตนานขึ้น
ข้อสังเกตและเปรียบเทียบหลังจากใช้ไบโอเฟอร์ทิล ตามคำแนะนำ เป็นประจำ
1.    ต้นพริกจะสมบูรณ์ สามารถให้ผลผลิตมาก ขั้วเหนียว ดอกติดดกอย่างต่อเนื่อง ต้นไม่โทรมแม้แบกผลผลิตมาก
2.    อายุการให้ผลผลิตของต้นพริกจะมากกว่าแปลงที่ไม่ได้ใช้อย่างเห็นได้ชัด
3.    เม็ดพริกจะมีคุณภาพดี ขนาดใหญ่สม่ำเสมอกัน น้ำหนักต่อเม็ดมากกว่า  ตั้งแต่ต้นถึงปลายช่วงของการเก็บเกี่ยว และสีผิวของเม็ดจะนวลเป็นมันกว่าสวนที่ไม่ได้ใช้
4.    เมื่อใช้เป็นประจำ (3-4 ครั้งขึ้นไป) จะสังเกตได้ว่าแมลงศัตรูพืชที่เข้ามารบกวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจำพวกผีเสื้อกลางคืนซึ่งเป็นตัวแม่ของหนอนชนิดต่าง ๆ รวมถึงแมลงวันทอง และด้วงกัดกินใบ  ทำให้ประหยัดต้นทุนยากำจัดศัตรูพืช และลดความเสียหายได้ดีกว่า  (ในพื้นที่ที่มีการระบาดมาก หากใช้ไบโอเฟอร์ทิล ฉีดร่วมกับยากำจัดศัตรูพืช ก็จะทำให้สามารถคุมและป้องกันการเข้าทำลาย ได้นานขึ้น)
5.    ใบพืชจะเขียวเงาเป็นมัน อายุใบนานขึ้นทำให้ต้นไม่สูญเสียอาหารในการสร้างใบใหม่ (ไบโอเฟอร์ทิล เป็นสารธรรมชาติ ไม่กัดผิวใบทำให้ใบด้านเหมือนการใช้เคมีอย่างเดียว)
6.    สุขภาพผู้ปลูกดีขึ้น เนื่องจาก สัมผัสหรือจับต้องสารเคมีน้อยลง
7.    เมื่อใช้ร่วมกับ ปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียว จะสามารถลดต้นทุน การใช้ปุ๋ยลงอีกประมาณ  20-50%
8.    การใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว  ร่วมด้วยเป็นประจำ  จะทำให้ค่าใช้จ่ายต้นทุนปุ๋ยและสารทางดินต่อชุดการผลิต ลดลงได้ประมาณ 30-50 % โดยที่ผลผลิตที่ได้ยังเป็นปกติหรือดีกว่าเดิม และสังเกตได้ว่าสารอินทรีย์ในเนื้อปุ๋ยทำให้สภาพดินดีขึ้น  ดินโปร่ง อุ้มน้ำได้ดี  ต้นทนแล้งได้ดีขึ้น  และพืชตอบสนองต่อการให้ปุ๋ยทางดินดีกว่าเดิม ในระยะยาวปัญหาเรื่องโรคทางดินน้อยกว่าแปลงข้างเคียงที่ไม่ได้ใช้ ผลในทางอ้อม  เนื่องจาก ยักษ์เขียว เป็นสารอินทรีย์แท้ จึงกระตุ้นจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ให้ย่อยปุ๋ย(เคมี)ที่ตกค้างในดินทำให้รากพืชสามารถดูดซึมกลับไปใช้ได้ ธาตุอาหารในดินจะสมดุลมากกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น