วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

คู่มือดูแลเพิ่มผลผลิตส้มโอ

เทคนิคการทำส้มโอ(ส่งออก)
สวนส้มโอ(ส่งออก) ภาพโดย ภควัตเพื่อนเกษตร

1. การเตรียมแปลงปลูกและดินสำหรับการปลูก
1.    หากที่ดินแปลงปลูกมีขนาดใหญ่ ควรเริ่มปรับพื้นที่หรือเตรียมดินในฤดูแล้ง และควรจัดพื้นที่ขุดบ่อน้ำ  สำหรับกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง
2.    ไถดินเพื่อปรับสภาพแปลงปลูก รื้อสิ่งกรีดขวางออก เพื่อพื้นที่มีสภาพโล่ง
3.    วัดแนวเขตพื้นที่ (กว้าง-ยาว) และทำแผนที่ของดินแปลงที่ปลูก
4.    คำนวณจำนวนต้นส้มและเลือกระยะปลูก ตามความต้องการ โดยยึดหลักดังนี้
4.1 ควรวาง แถวของต้น อยู่ในแนวทิศเหนือ-ใต้
4.2 มาตรฐานของการปลูก ระยะต้น*ระยะแถว คือ พื้นราบ 5.5*5.5 6*6 ร่องน้ำ 5*8 6*9 เมตร
4.3 คำนวณจำนวนกิ่งพันธุ์หรือต้นพันธุ์ที่ต้องการใช้ในการปลูก (ควร + เพิ่ม 2%)
4.4 กำหนดจำนวนแถว วางแนวและตำแหน่งของต้นที่จะปลูกในพื้นที่จริง
5.    ไถพรวนดิน ยกแนวปลูกให้เป็นร่องลูกฟูกหรือฟันดินพูนเป็นโขด (กระทะคว่ำ)ร่องลูกฟูกหรือโขดควรสูงจากพื้นดินเดิมอย่างน้อยประมาณ 50-75 ซม. 
6.    ย่อยดินตรงบริเวณที่จะปลูกให้ละเอียดเหมาะสมต่อการปลูกพืช
7.    ปรับปรุงสภาพดินของแนวรองปลูกหรือบริเวณโขดที่จะปลูกด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเกา
8.    ปักไม้รวก (ยาวประมาณ 50-60 ซม.) ตรงบริเวณจุดกำหนดหรือโขดที่จะปลูก ให้แต่ละจุดที่จะปลูกต้นในแต่ละแถวปลูก อยู่ในแนวที่ตรงกัน
9.    หากดินที่จะปลูกต้นส้มเป็นดินร่วนปนทราย ควรจัดเตรียมเศษพืชหรือฟางเพื่อการคลุมดิน รักษาความชื้น
10. เก็บ ตัวอย่างดินบริเวณที่จะปลูก ส่งหน่วยงานเพื่อวิเคราะห์ความเป็นกรดเป็นด่าง โครงสร้างของดิน ปริมาณอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารที่จำเป็น
2. การเตรียมต้นพันธุ์
  1. หากเลือกใช้ต้นพันธุ์เป็นกิ่งตอน ควรพิจารณาดังนี้
1.1     เป็นกิ่งตอนจากแหล่งหรือผู้ขายที่เชื่อถือได
1.2     ต้นแม่ต้องแข็งแรง ไม่เป็นโรคกรีนนิ่งและโรคทริสเตซ่า หรือโรคไวรัสอื่นๆ และมี ลักษณะที่ดีตรงตามสายพันธุ์
1.3     ต้นแม่ควรมีอายุมากกว่า 8-9 ปีขึ้นไป
1.4     กิ่ง ตอนควรเป็นกิ่งที่ตั้งหรือตั้งตรงทีมีอายุ 1-1.5 ปี กิ่งแข็งแรง กลม -ไม่มีหนาม สี เขียวอมน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมเขียว มีรากออกโดยรอบขวั้น
1.5     ความสูงของกิ่งตอน 45-55 ซม. (ไม่ควรเกิน 60 ซม.)
1.6     กิ่งตอนไม่ควรเพาะชำอยู่ในถุงนานเกิน 6 เดือน
  1. หากเลือกใช้ต้นพันธุ์เป็นต้นตอที่ติดตาหรือเสียบยอด ควรเลือกที่มีลักษณะดังนี้
2.1     ต้นพันธุ์ได้จากแหล่งหรือผู้เชื่อถือได หรือได้ผ่านรับรอง การปลอดโรค
2.2     ต้นพันธุ์แข็งแรงไม่เป็นโรคกรีนนิ่งและทริสเตซ่าหรือโรคไวรัส อื่นๆ และมีลักษณะที่ดีตรงตามสายพันธุ์
2.3     ต้นพันธุ์ไม่ควรปลูกอยู่ในถุงเพาะชำ ภายหลังการติดตาหรือเสียบยอดเกินกว่า 1 ปี
2.4     เลือกใช้ชนิดของต้นตอให้เหมาะสมกับพันธุ์และสภาพของดินที่ปลูก
2.5     พื้นที่ที่จะปลูกต้นปลอดโรค ควรหากไกลจากแหล่งปลูกเดิม
2.6     ต้องระมัดระวังการติดโรคภายหลังจากการปลูก
  1. ระยะเวลาปลูกและวิธีการปลูกที่เหมาะสม
3.1     สามารถเลือกเวลาปลูกเมื่อใดก็ได ถ้าแปลงปลูกมีการติดตั้งระบบน้ำชลประทาน
3.2     ควรปลูกในเดือนกรกฎาคม ถึง เดือนตุลาคม หากอาศัยน้ำฝนโดยไม่มีแหล่งน้ำ
3.3     กิ่งหรือต้นพันธุ์ที่จะนำลงปลูกควรเป็นระยะใบแก่ (ไม่ควรมีใบอ่อน) หากเป็นกิ่งตอนควร ให้ปลายรากมีสีเหลืองหรือสีนวล
3.4     ต้นพันธุ์ติดตาหรือเสียบยอด ควรปลูกโดยการจัดระบบราก
3.5     ต้นพันธุ์ที่มีรากขดงอโดยเฉพาะรากใหญ่ หากไม่สามารถจัดระบบรากได้ ไม่ควรนำลงปลูก
3.6     อย่าปลูกต้นพันธุ์ลึก ควรปลูกและกลบหน้าดินให้เสมอขั้วบนของกิ่งตอน หรือเสมอระดับ หน้าดินเดิมของถุงเพาะชำ
3.7     ควรปลูกโดยจัดให้ลําต้นหลักของต้นพันธุ์ตั้งตรงระวังอย่าให้ต้นส้มโยกคลอน ปักหลักไม้รวกและผูกยึดต้นให้แน่น
3.8     ควรหาฟางข้าวหรือเศษพืชคลุมดินบริเวณโขดที่ปลูก โดยเฉพาะในดินร่วนหรือดินปนทราย
  1. การดูแลและการทำงาน (หลังปลูก -ต้นอายุ 1 ปี)
4.1     ผูกยึดต้นให้แน่นกับหลักไมรวกที่ปักไวเพื่อป้องกันไม่ให้ต้นโยกคลอน
4.2     ต้องให้น้ำแก่ต้นที่ปลูกใหม่อย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ ระวังอย่าให้ต้นขาดน้ำ
4.3     ให้ปุ๋ยทางดินแก่ต้น ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เกรด AAA ยักษ์เขียวสูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 0.5 กิโลกรัมต่อต้น  สลับกับปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 หรือ 25-7-7 ปริมาณ ต้นละ 2-3 กำมือต่อครั้งต่อต้น โดยใส่สลับกันเที่ยวเว้นเที่ยว ทุก ๆ  30-40 วัน/ครั้ง ตั้งแต่ปลูก - 12 เดือนหลังปลูก
4.4     ทางใบ ควรให้ปุ๋ยไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง)อัตรา 30 ซีซี ร่วมกับ ธาตุอาหารเสริมรวม คีเลทอัตรา 5-10  กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทางใบแก่ต้นส้มโอ เดือนละ 1-2 ครั้ง  
4.5     ระวังการทำลายของเพลี้ยไฟ เพลี้ยไก่แจ้และหนอนชอนใบในระยะยอดและใบอ่อน หากพบการระบาดให้ใช้ ชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เมทา-แม็ก ฉีดพ่น อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร 2 ครั้ง ห่างกัน 7-10 วัน  หรือหากต้องการใช้สารเคมี ให้ใช้ สารจำพวก อิมิดาโคลพริด,ไซเปอร์เมธริน,ฟิโปรนิล,คาร์โบซัลแฟน,อะบาเม็คติน,ฯลฯ โดยใช้เดี่ยวหรือผสมกัน ให้เลือกสลับการใช้อย่าให้ซ้ำกัน เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชดื้อยา
4.6     ตั้งแต่ต้นอายุ 10-12 เดือนขึ้นไป ควรตัดแต่งกิ่งกระโดง กิ่งแห้งและกิ่งเป็นโรค
4.7     ห้ามฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดวัชพืชใกล้บริเวณโคนต้นหรือทรงพุ่ม
4.8     ระวังการทำลายของโรคแคงเคอร์หรือโรคใบจุดที่ใบอ่อนในฤดูฝน
4.9     หากดินเป็นกรด หรือแน่นแข็ง ควรใช้สารปรับสภาพดิน ไดนาไมท์ อัตรา 500 ซีซี/ไร่ ผสมไปกับระบบการจ่ายน้ำ(สปริงเกอร์) หรือผสมน้ำฉีดพ่นผิวดินรอบทรงพุ่มแล้วรดน้ำตามทันที(กรณีร่องสวน)
4.10   ปลูกซ่อมแซมต้นที่ตายหรือไม่แข็งแรง โดยใช้พันธุ์ที่สมบูรณ์แข็งแรง
4.11   หากแปลงปลูกอยู่ในสภาพที่โล่ง ใกล้นาข้าว ที่รกร้าง ให้วางแผนการปลูกพืชล้อมที่หรือพืชกำบังลมตามคันล้อมแนวเขตที่ดิน(กล้วย,มะพร้าว,มะม่วง,ฯลฯ)ก่อนการลงต้น และควรปักไม้ค้ำต้นเพื่อป้องกันต้นโดนลมโยก(รากขาด)
4.12   หาก ต้องการปลูกต้นไม้อื่นเป็นพืชเสริมรายได้ ให้เลือกชนิดที่เหมาะสมกับส้มโอที่ปลูก พืชที่เลือก ควรมีอายุการเก็บเกี่ยวไม่เกิน 3 ปี(กิ่งต้นส้มโอจะแผ่ชนกัน) เช่น มะละกอ,ฝรั่ง,ฯลฯ
  1. การดูแลและการทำงาน (ต้นอายุ 1-3 ปี)
5.1     ให้เริ่มสร้างทรงพุ่ม โดยมีลำต้นหลักเพียงลำต้นเดียวและมีกิ่งใหญ่ 4-7 กิ่ง
5.2     ควบคุมให้แตกยอดอ่อนเป็นรุ่นหรือเป็นชุดพร้อม ๆ กันตั้งแต่ต้นส้มอายุ 1 1/2  ปี (งดน้ำ,ขึ้นน้ำ)
5.3     บังคับการแตกยอดอ่อนให้มีการแตกตาข้างมากกว่าการแตกตายอด (โดยการตัดแต่ง)
5.4     การแตกยอดสามารถบังคับให้เกิดได้ ทุก ๆ 50-55 วันโดยอาศัยวิธีการให้น้ำเป็นระยะ ๆ และฉีดพ่นไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง)+ ธาตุอาหารรองและเสริม รวม “คีเลทตามที่แนะนำทุก ๆ 15-30 วัน 
5.5     ขนาดของใบควรได้มาตรฐาน ใบหนา สีเขียวเข้ม ไม่แสดงอาการขาดธาตุอาหารหลัก หรืออาหารรอง
5.6     การให้ปุ๋ยทางดินควรเริ่มปรับเป็นการให้ 30-40 วัน/ครั้ง โดยใส่สลับกันเที่ยวเว้นเที่ยวระหว่างปุ๋ยเคมี และ ปุ๋ยอินทรีย ยักษ์เขียวสูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง)อัตรา 0.5-1 กิโลกรัมต่อต้น สลับกับการให้ปุ๋ยเคมีควรใช้สูตร 25-7-7 หรือ15-15-15 โดยให้ในปริมาณ 2-5 กำมือ ตามขนาดทรงพุ่ม
5.7     เริ่ม ไว้ผลเมื่อต้นอายุประมาณ 30-36 เดือน (ยกเว้นพันธ์ทองดีให้เริ่มที่อายุประมาณ 6 ปี) โดย "เว้นน้ำ" หรือ "กักน้ำ" ในช่วงฤดูหนาวประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน เมื่อติดผลครั้งแรก ควรปลิดผลทิ้งกะประมาณให้เหลือไว้ถึงตอนเก็บผลแค่ 5-10  ผล/ต้น ครั้งต่อไป เพิ่มขึ้นตามลำดับเพื่อไม่ให้ต้นโทรมเร็ว
5.8     ใน การบังคับการแตกยอดอ่อนพร้อมดอกรุ่นแรก ใช้วิธีการกักน้ำให้ต้นมีสภาพขาดน้ำในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ(ประมาณ 7-20 วัน แล้วแต่สภาพดินเหนียวหรือดินทราย,อายุและขนาดของต้นส้มโอ)  จากนั้นจึง "ขึ้นน้ำ" โดยการค่อย ๆ เพิ่มการรดน้ำจนสู่ระดับปกติ  และรดน้ำอย่างเพียงพอเพื่อให้ต้นส้มผลิยอดอ่อนชุดใหม่
5.9     การบังคับการแตกยอดอ่อน(ใบหรือดอก)นั้น  แนะนำให้ฉีดพ่นไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง)ร่วมด้วยทุกครั้ง  เพื่อให้ใบหรือดอกที่ได้มีคุณภาพ และลดปัญหาเรื่องแมลงศัตรูพืช
5.10   ความสูงของต้นที่เริ่มการบังคับให้ออกดอกและติดผล คือ 2-2.5 เมตร หรือเริ่มเก็บผลได้เมื่อต้นมีทรงพุ่มประมาณ 2-2.5 เมตร
  1. การดูแลการทำงานส้มโอที่เริ่มให้ผลผลิตแล้ว (พันธ์ส้มโอตระกูลขาวน้ำผึ้ง,ขาวหอม,ขาวใหญ่ ต้นอายุ 3-3 ½  ปีขึ้นไปหรือ พันธ์ทองดี ต้นอายุ 6 ปีขึ้นไป)
6.1     การ ตัดแต่งกิ่งให้ตัดแต่งกิ่งกระโดงที่ยาวและมีหนาม กิ่งแห้ง กิ่งบิดไขว้ กิ่งเป็นโรคหรือถูกแมลงทำลาย ควรเริ่มตัดแต่งได้เมื่อหมดฤดูฝนหรือหลังเก็บเกี่ยวส้มโอรุ่นในฤดู ช่วงเดือนตุลาคม
6.2     หากต้นส้มแสดงอาการขาดธาตุอาหารรอง โดยเฉพาะธาตุแมกนีเซียมและธาตุสังกะสี(ยอดจะตื้อ,ใบจะมีแถบด่างเหลือง) ให้รีบแก้ไขโดยใช้ธาตุอาหารรองและเสริม รวม “คีเลท อัตรา 50 กรัม/ถัง(น้ำ 200 ลิตร) ฉีดพ่นทางใบ 1-2 ครั้ง หรือฉีดในช่วงแตกใบอ่อนทุกครั้ง
6.3     ก่อนการบังคับการออกดอก (ก่อนการเว้นให้น้ำหรือการกักน้ำประมาณ ½-1 เดือน) ให้ฉีดพ่นปุ๋ยทางใบสูตร 0-52-34 อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก ๆ 7 วันประมาณ 2-3 ครั้ง
6.4     บังคับ ให้ต้นแตกยอดอ่อน(ดอก)เป็นชุดพร้อม ๆกัน โดยการไม่ให้น้ำแก่ต้น "เว้นน้ำ" หรือ "กักน้ำ" ในช่วงเดือน พฤศจิกายน หรือเดือนธันวาคม(ส่วนใหญ่จะเว้นน้ำประมาณ 2-3 อาทิตย์ ขึ้นอยู่กับขนาดและความสมบูรณ์ของต้น) จากนั้นจึง "ขึ้นน้ำ" โดย การเริ่มค่อย ๆ รดน้ำให้แก่ต้นส้มโอ จนถึงเกณฑ์ปกติ(ประมาณ 3-4 วัน) และฉีดพ่นด้วยไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) ทุกๆ 7-10 วัน ประมาณ 4 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการติดช่อดอก ทำให้ดอกติดมากและขั้วเหนียว
6.5     การ ให้ปุ๋ยทางดินแก่ต้น ควรพิจารณาความสมบูรณ์ของต้น ขนาดของใบ และผลของการวิเคราะห์ดินเป็นสำคัญ ในสภาพทั่ว ๆ ไป สำหรับพื้นดินที่มีไนโตรเจนไม่สูง สังเกตจากส้มโอที่เก็บเกี่ยวได้จะมีเปลือกบาง ผิวเนียน มัน ผิวไม่เห่อ เช่น ในเขตปทุมธานี,นครปฐม หรือนครนายกบางส่วน ฯลฯ เมื่อติดผลช่วงแรก(ลูกเล็ก)ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเมษายน ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียวสูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 1-1.5 กิโลกรัมต่อต้น  ทุก ๆ 30 วัน (ประมาณ 3 ครั้ง)สลับปุ๋ยเคมีสูตร 25-7-7 อัตรา 1 กิโลกรัมต่อต้น( 1 ครั้ง) หลังจากนั้นให้ใช้ปุ๋ยเคมีสูตรที่เน้นตัวหน้าและหลัง เช่น 24-4-24 หรือ 13-13-21 สลับกับ ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียวสูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง)อัตรา 1-1.5 กิโลกรัมต่อต้น  ทุก ๆ 30-45 วัน (ประมาณ 2-3 ครั้ง)
6.6     สำหรับ ในพื้นที่ดินที่มีไนโตรเจนสูง สังเกตได้ว่าต้นจะมีการเจริญเติบโตทางใบสูง ใบใหญ่ ผิวส้มโอจะหนา เช่นในเขตเชียงราย พิจิตร ราชบุรี ปราจีนบุรีฯลฯ ช่วงติดผลให้เปลี่ยนจากการเน้นปุ๋ยไนโตรเจน โดยใส่ปุ๋ยเคมีสูตรอื่นแทน ได้แก่ 15-15-15 หรือ 13-13-21 หรือ 0-0-50 แทน
6.7     ช่วงติดผลแล้ว การให้ปุ๋ยทางใบ ให้ใช้ไบโอเฟอร์ทิล  สูตรเร่งขนาดผล ฉีดพ่นทุกๆ  10-14 วันจนถึงเก็บเกี่ยว เมื่อใช้เป็นประจำ ปัญหาการหลุดร่วงของผลเนื่องจากสภาวะอากาศหรือโรคจะลดลงมาก ผลส้มโอที่ได้จะมีขนาดใหญ่สม่ำเสมอ(เป็นเบอร์เดียว) และผิวจะเนียนสวยกว่าแปลงที่ใช้ยาฆ่าแมลงควบคุมเพียงอย่างเดียว
6.8  ใน ช่วงติดผล หากมีการเตรียมต้นไม่ดี(ปุ๋ยไม่พอ) หรือ สภาพอากาศแปรปรวน ส้มโอจะมีปัญหาลูกเบาและผลร่วงมาก แนะนำให้ฉีดพ่นเสริมด้วย คีเลท อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก ๆ 15-20 วัน
6.9     ในแปลงที่มีการระบาดของแมลงศัตรูพืชมาก  แนะนำให้ใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง)ร่วมกับชีวภัณฑ์กำจัดแมลง เมทา-แม็ก  หรือสารเคมีควบคุมแมลง โดยอาจฉีดพ่นร่วมกันหรือสลับกัน จะช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืชเข้าทำลายและสามารถยืดอายุการใช้สารเคมี ทำให้ลดต้นทุนการใช้สารเคมีลงกว่า 50 %
6.10     ในกรณีติดผลดกและต้นแสดงอาการขาดธาตุอาหารรองและเสริม ให้เสริมด้วยธาตุอาหารรองและเสริม คีเลท เดือนละ 1-2 ครั้ง
  1. ให้ปุ๋ยหรือธาตุอาหารแก่ต้นส้มโอและผล ในทุกระยะตั้งแต่เริ่มผลิยอดถึงก่อนการเก็บเกี่ยว ดังนี้
7.1     หลังเก็บเกี่ยวและตัดแต่งกิ่ง เมื่อเริ่มผลิยอดอ่อน
ทางดิน (ครั้งแรก)ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียวสูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 1-1.5 กิโลกรัมต่อต้น (ครั้งที่ 2) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 25-7-7 อัตรา 0.5 กิโลกรัมต่อต้น
ทางใบ  ไบโอเฟอร์ทิล  สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง อัตรา 30-50 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร + ธาตุอาหารรองและเสริม รวม “คีเลท อัตรา 5-10  กรัมทุกๆ 10-14 วัน ประมาณ 4-5 ครั้ง
7.2     ก่อนเว้นน้ำ 15-30 วัน
       ทางใบ ปุ๋ยสูตร 0-52-34 อัตรา 30-50 กรัม/น้ำ 20 ลิตรทุกๆ 7 วันประมาณ 2 ครั้ง เพื่อเร่งให้ใบแก่ และอั้นใบ
7.3     กระตุ้นดอกเมื่อเริ่มขึ้นน้ำได้ 3-4 วัน
       ทางใบ  ไบโอเฟอร์ทิล  สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง อัตรา 30-50 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร + ธาตุอาหารรองและเสริม รวม “คีเลท อัตรา 5-10  กรัม ทุกๆ 5-7 วัน ประมาณ 5 ครั้ง
7.4     ติดผลอายุ 1-4 เดือน
       ทางดิน  (ครั้งแรก) ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียวสูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 1-1.5 กิโลกรัมต่อต้น  (ห่างกัน 30 วัน ใส่ครั้งที่ 2)ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 25-7-7 หรือ 24-8-8 หรือ 15-15-15 อัตรา 1 กิโลกรัมต่อต้น (ห่างกัน 30 วัน ใส่ครั้งที่ 3) ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียวสูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 1-1.5 กิโลกรัมต่อต้น
ทางใบ  ไบโอเฟอร์ทิล  สูตรเร่งขนาดผลสลับกับสูตรไล่แมลง อัตรา 50 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร ทุกๆ 10-14 วัน)
7.5     ผลอายุ 4-8 เดือน
ทางดิน (ห่างกัน 30 วัน ใส่ครั้งที่ 4) ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียวสูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 1-1.5 กิโลกรัมต่อต้น (ห่างกันอีก 30 วัน ใส่ครั้งที่ 5) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21หรือ 24-4-24  อัตรา 1 กิโลกรัม/ต้น
       ทางใบ  ไบโอเฟอร์ทิล  สูตรเร่งขนาดผลสลับกับสูตรไล่แมลง อัตรา 50 ซีซี ทุกๆ 10-14 วัน + ธาตุอาหารรองและเสริม รวม “คีเลท อัตรา 5 กรัม + แคลแม็ก (แคลเซียมโบรอน) อัตรา 20 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นเพื่อป้องกันผลแตก
* ในพื้นที่ดินที่มีไนโตรเจนสูง ให้คำนึงถึงการให้ปุ๋ยตัวหน้าอย่างระมัดระวัง (ไนโตรเจนสูง สังเกตได้จาก ต้นมีการเจริญเติบโตทางใบมาก หรือเปลือกส้มโอหนา แม้ไม่ได้ใส่ปุ๋ยตัวหน้า) โดยให้ลดการใช้ปุ๋ยเคมีตัวหน้าลง โดยให้ใช้ปุ๋ยเคมีสูตรที่ตัวหน้าต่ำลงจากที่แนะนำ ประมาณ 50 % เพื่อลดการเห่อของผิวส้มโอและความหนาของเปลือก ซึ่งจะทำให้ผลผลิตเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น*

หมายเหตุ
              การใส่ปุ๋ยเคมีและ ยักษ์เขียว สามารถผสมร่วมกันแล้วนำไปใส่เพื่อความสะดวกได้ ในสัดส่วน ยักษ์เขียว 2 ส่วน : ปุ๋ยเคมี 1 ส่วน  ใส่ตามช่วงที่แนะนำในอัตราครั้งละ 1-1.5 กิโลกรัมต่อต้น(มากน้อยตามขนาดทรงพุ่มและปริมาณผลผลิตบนต้น)

การป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช
           มีช่วงที่สำคัญควรดูแลเฝ้าระวังเป็นพิเศษในแต่ละช่วงดังนี้
              1. ช่วงแตกใบอ่อน(ช่วงบำรุงต้นทำใช),แทงช่อดอก(ช่วงกระตุ้นดอก ให้ระวัง เพลี้ยไฟ,ไรแดง เข้าทำลายเมื่อเริ่มแทงยอด สังเกตโดยเอากระดาษขาวมารองและเคาะที่ช่อใบ หากพบตั้งแต่ 2 ตัวต่อช่อ ให้ใช้ ชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช(ปลอดสารพิษ) เมทา-แม็ก อัตรา 50-100 กรัม ฉีดพ่น ทุก ๆ 5 วัน หรือใช้สารเคมี จำพวก อิมิดาโคลพริด,ฟิโปรนิล,ไซเปอร์เมธริน,ฯลฯ
              2. ช่วงแตกใบอ่อน(ตลอดทั้งปี)ระมัดระวังหนอนประกบใบ,หนอนกัดกินใบต่าง ๆ ซึ่งจะสังเกตเห็นไข่ได้ตั้งแต่ช่วงแตกใบอ่อน หากพบให้ใช้ชีวภัณฑ์กำจัดหนอน(ปลอดสารพิษ) บาร์ท๊อป อัตรา 50-100 กรัม(กำจัดหนอน,แมลง) + พี-แม็ก อัตรา 50 กรัม(กำจัดไข่แมลง) ฉีดพ่น ทุก ๆ 5 วัน หรือใช้สารเคมี จำพวก อิมิดาโคลพริด,คาร์โบซัลแฟน,ไซเปอร์เมธริน,อะบาเม็คติน,ฯลฯ
              3. สำหรับส้มโอ(ส่งออก) ช่วงติดลูก ให้ระมัดระวังเพลี้ยไฟ,ไรแดง จะทำลายเปลือกส้มโอ ทำให้เป็นรอย,ด่างเป็นแนวหรือแถบ และหนอนเจาะผล,แมลงวันทอง  ให้หมั่นควบคุมด้วยสารกำจัดตามที่แนะนำในข้างต้น
              4. ช่วงฤดูฝน ระมัดระวังโรครากเน่า โคนเน่า  ป้องกันโดยก่อนปลูกควรทำโขดหรือโคก ยกพื้นดินขึ้นมาประมาณ 50 เซนติเมตรเพื่อให้ระบายน้ำได้สะดวก และให้ใช้ ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรค ไตรโคแม็ก อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นผิวดินรอบทรงพุ่มและโคนต้น ปีละ 2 ครั้ง ในช่วงต้นฝนและปลายฝน
              5. หมั่นควบคุมและกำจัดแมลงพาหะเพลี้ยไก่แจ้ ไม่ให้มีการระบาด เพราะจะทำให้ ต้นส้มโอ เป็นโรคกรีนนิ่งได้
              6. การตัดแต่งกิ่งหลังการเก็บเกี่ยวและการดูแลควบคุมวัชพืช ที่ดี จะช่วยลดการระบาดของแมลงศัตรูพืชและโรคเชื้อรา ทำให้ต้นทุนลดลงได้ส่วนหนึ่ง

ข้อเปรียบเทียบหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ภควัตเพื่อนเกษตร ตามคำแนะนำเป็นประจำ
1.    ส้มโอจะบังคับดอกง่าย ขั้วดอก,ผล เหนียว ต้นไม่โทรมแม้แบกผลผลิตมาก อายุการให้ผลผลิตจะมากกว่าแปลงที่ไม่ได้ใช้อย่างเห็นได้ชัด เมื่อใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรไล่แมลง)เป็นประจำ (3-4 ครั้ง ขึ้นไป) จะสังเกตได้ว่าแมลงศัตรูพืชที่เข้ามารบกวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจำพวกผีเสื้อกลางคืนซึ่งเป็นตัวแม่ของหนอนชนิดต่าง ๆ รวมถึงแมลงวันทอง และด้วงกัดกินใบ  ทำให้ประหยัดต้นทุนยากำจัดศัตรูพืช และลดความเสียหายได้ดีกว่า  (ในพื้นที่ที่มีการระบาดมาก หากใช้ไบโอเฟอร์ทิล ฉีดร่วมกับยากำจัดศัตรูพืช ก็จะทำให้สามารถคุมและป้องกันการเข้าทำลาย ได้นานขึ้น)
2.    ใบ พืชเงาเป็นมัน อายุใบนานขึ้นทำให้ต้นไม่สูญเสียอาหารในการสร้างใบใหม่ (ไบโอเฟอร์ทิล เป็นสารธรรมชาติ ไม่กัดผิวใบทำให้ใบด้านเหมือนการใช้เคมีอย่างเดียว)
3.    ผิวส้มโอเนียนเป็นมันกว่าแปลงที่ไม่ได้ใช้  เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อ
4.    เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ตามคำแนะนำ  เนื้อผลมีรสชาติหวานเข้มข้นดีกว่าแปลงที่ใช้เคมีอย่างเดียว
5.    สุขภาพผู้ปลูกดีขึ้น เนื่องจาก สัมผัสหรือจับต้องสารเคมีน้อยลง
6.    การใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว  ร่วมด้วยเป็นประจำ  จะทำให้ต้นทุนปุ๋ยและสารทางดินต่อชุดการผลิต ลดลงได้ประมาณ 30-50 % โดยที่ผลผลิตที่ได้ยังเป็นปกติหรือดีกว่าเดิม และสังเกตได้ว่าสารอินทรีย์ในเนื้อปุ๋ยทำให้สภาพดินดีขึ้น  ดินโปร่ง อุ้มน้ำได้ดี  ต้นทนแล้งได้ดีขึ้น  และพืชตอบสนองต่อการให้ปุ๋ยทางดินดีกว่าเดิม ในระยะยาวปัญหาเรื่องโรคทางดินน้อยกว่าแปลงข้างเคียงที่ไม่ได้ใช้ ผลในทางอ้อม  เนื่อง จาก ยักษ์เขียว เป็นสารอินทรีย์แท้ จึงกระตุ้นจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ให้ย่อยปุ๋ย(เคมี)ที่ตกค้างในดินทำให้ รากพืชสามารถดูดซึมกลับไปใช้ได้ ธาตุอาหารในดินจะสมดุลมากกว่า
7.  ปัญหาการดื้อยาของแมลงศัตรูพืชจะหมดไป เมื่อใช้ เมทา-แม็ก และ พี-แม็ก ฉีดพ่นเพื่อตัดวงจรเจริญพันธุ์ของแมลงศัตรูพืชเป็นประจำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น