วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

เทคนิคการปลูกกระเทียม

เทคนิคการปลูกกระเทียม


แผนการปฏิบัติงานเพื่อลดต้นทุน
เพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพ  สำหรับแปลงกระเทียม

 
พันธุ์ที่ใช้ปลูก
ภาคเหนือนิยมปลูกพันธุ์พื้นเมืองเชียงใหม่ เชียงรายและพม่า ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมปลูกพันธุ์พื้นเมืองศรีสะเกษ และภาคกลางนิยมปลูกพันธุ์บางช้าง และพันธุ์จีน หรือไต้หวัน

พันธุ์ที่ปลูกสามารถแบ่งได้ตามอายุการแก่เก็บเกี่ยวได้ ดังนี้

1.พันธุ์เบาหรือพันธุ์ขาวเมือง ลักษณะใบแหลม ลำต้นแข็ง กลีบเท่าหัวแม่มือ กลีบและหัวสีขาว มีกลิ่นฉุนและรสจัด อายุแก่เก็บเกี่ยวประมาณ 75-90 วัน เช่น พันธุ์พื้นเมืองศรีสะเกษ เป็นต้น

2.พันธุ์กลาง ลักษณะใบเล็กและยาว ลำต้นใหญ่ และแข็ง หัวขนาดกลาง หัวและกลีบสีม่วง อายุแก่เก็บเกี่ยวประมาณ 90-120 วัน นิยมปลูกมากในภาคเหนือ เช่นพันธุ์พื้นเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น

3.พันธุ์หนัก ลักษณะใบกว้างและยาว ลำต้นเล็ก หัวใหญ่ กลีบโต เปลือกหุ้มสีชมพู น้ำหนักดี อายุแก่เก็บเกี่ยวประมาณ 150 วัน เช่น พันธุ์จีน หรือไต้หวัน เป็นต้น

พื้นที่ที่เหมาะสม
กระเทียมสามารถเพาะปลูกได้เกือบทุกภาคของ ประเทศแต่ เหมาะที่จะปลูกในแปลงที่เป็นดินร่วน หรือระบายน้ำได้ดีและมีอุณหภูมิอากาศค่อนข้างหนาวเย็น เป็นระยะเวลายาวนานหลายเดือน ดังนั้นบริเวณเพาะปลูกกระเทียมที่สำคัญของไทย ส่วนใหญ่จึงอยู่ทางภาคเหนือตอนบน ที่สำคัญได้แก่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน แพร่ ลำปาง และอุตรดิตถ์ นอกจากนี้มีเพาะปลูกข้างทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ศรีสะเกษและบุรีรัมย์

ช่วงระยะเวลาเพาะปลูก
1.เพาะปลูกช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนและเก็บเกี่ยวเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ อายุประมาณ 75-90 วันกระเทียมรุ่นนี้เรียกว่ากระเทียมดอ หรือกระเทียมเบา นิยมใช้ทำกระเทียมดอง ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน เพราะฝ่อเร็ว
2.เพาะปลูกช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม หลังการเก็บเกี่ยวข้าวและเก็บเกี่ยวเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน อายุประมาณ 90-120 วัน เรียกว่ากระเทียมปี ใช้ทำกระเทียมแห้งเพราะสามารถเก็บไว้ได้นาน

การเตรียมดินปลูก
ดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกระเทียม ควรเป็นดินที่ร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี ถ้าดินเป็นกรดจัดจะทำให้กระเทียมไม่เจริญ ควรปรับสภาพดินด้วย การฉีดพ่นสารปรับสภาพดินไดนาไมท์ ในอัตรา 50 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณเพาะปลูกอย่างน้อย 15 วันก่อนลงพันธุ์ เพื่อปรับสภาพดินที่เป็นกรด และกำจัดโรคราในดิน ก่อนไถควรหว่านวัสดปรับปรุงดินอินทรีย์ ตรายักษ์เขียว เกรดAAA สูตรเข้มข้น(แถบเขียว) อัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ ถ้าเป็นดินเหนียวควรใช้ไถบุกเบิกก่อนพรวน ถ้าเป็นดินร่วนใช้เฉพาะพรวนและยกแปลงเพื่อการให้น้ำและระบายน้ำได้ดี
** การเตรียมดินดีจะช่วยให้กระเทียมลงหัวดีและควรเตรียมแปลงปลูกขนาดกว้าง 1 - 2.5 เมตร ความยาวตามพื้นที่ปลูกระยะห่างระหว่างแปลง (ทางเดินหรือร่องน้ำ) ควรกว้าง 50 ซม.
การปลูก
กระเทียมปลูกโดยใช้กลีบซึ่งประกอบเป็นหัว นิยมใช้กลีบนอกปลูก เนื่องจากกลีบนอกมีขนาดใหญ่ จะให้กระเทียมที่มีหัวใหญ่และผลผลิตสูง การนำกระเทียมไปปลูกในฤดูฝน จะทำให้กระเทียมงอกไม่พร้อมกัน โตไม่สม่ำเสมอกัน
** ขนาดของกลีบจะมีอิทธิพลหรือความสำคัญ ต่อการลงหัวของกระเทียม จากการศึกษาพบว่าพันธุ์ที่มีกลีบใหญ่ ถ้าหากใช้กลีบขนาดกลางปลูกจะทำให้ผลผลิตสูง พันธุ์ที่มีกลีบขนาดเล็ก ถ้าใช้กลีบใหญ่ที่สุดปลูกจะให้ผลผลิตสูง
การปลูกอาจให้น้ำก่อนและใช้กลีบกระเทียมจิ้มลงไปโดยเอาส่วนรากลงลึกประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของกลีบ เป็นแถวตามระยะปลูกที่กำหนด ใน พื้นที่ 1 ไร่ ต้องใช้หัวพันธุ์ 100 กก. หรือกลีบ 75-80 กก. ปลูกโดยใช้ระยะปลูก 10 x 10 -15 ซม. จะให้ผลผลิตสูงที่สุด สำหรับกระเทียมจีนใช้ระยะปลูก 12-12 ซม. และหัวพันธุ์ 300-350 กก.ต่อไร่ หลังปลูกจะใช้ฟางคลุมแปลงเพื่อควบคุมวัชพืช ที่จะมีขึ้นในระยะแรก เก็บความชื้นและลดความร้อนเวลากลางวัน
วิธีการปลูก
1.    เตรียมแปลงกว้างประมาณ 1.20 เมตร ความยาวตามสภาพพื้นที่ ความสูงของแปลงประมาณ 20 เซนติเมตร
2.    ใช้พันธุ์กระเทียม โดยฝังกลีบกระเทียมหลุมละ 1 กลีบ ให้ลึกประมาณ 1 เซนติเมตร จากหน้าดิน
3.    ให้รดน้ำอย่างสม่ำเสมอทุก 5-7 วัน
4.    ระยะปลูก 15-20 เซนติเมตร X 15-20 เซนติเมตร

การให้น้ำ
ควรให้น้ำก่อนปลูก และหลังปลูกกระเทียมควรได้รับน้ำอย่างเพียงพอ และสม่ำเสมอในช่วงระหว่างเจริญเติบโต 5-7 วัน/ครั้ง ควรงดการให้น้ำเมื่อกระเทียมแก่จัด ก่อนเก็บเกี่ยว 2-3 สัปดาห์
การคลุมดิน
หลังปลูกกระเทียมควรคลุมดินด้วยฟางข้าวแห้ง เศษหญ้าแห้ง หรือเศษวัสดุที่สามารถผุพังเน่าเปื่อยอื่น ๆ ทั้งนี้เพื่อควบคุมวัชพืชที่จะมีขึ้นในระยะแรก รักษาความชื้นในดิน ประหยัดในการให้น้ำและลดอุณหภูมิลงในเวลากลางวัน ทำให้กระเทียมสามารถเจริญเติบโตได้ดี
การใส่ปุ๋ย
แนะนำให้ใช้ ยักษ์เขียว เกรดAAA สูตรเข้มข้น(แถบเขียว)ร่วม กับการใช้ปุ๋ยเคมี จะช่วยให้หัวกระเทียมมีคุณภาพดีขึ้น ไม่เน่าง่าย หัวแน่น ได้น้ำหนักดีกว่าการใช้เพียงปุ๋ยเคมีอย่างเดียว และช่วยลดต้นทุนปุ๋ยเคมีลงได้กว่า 50%  โดยปุ๋ยเคมีที่ใช้แนะนำให้ใช้สูตร 10-10-15, 13-13-21 ผสมในอัตราส่วน ยักษ์เขียว 1 ส่วน ต่อ ปุ๋ยเคมี 1 ส่วน ผสมร่วมกัน แล้วใส่ ในปริมาณ 50-100 กก./ไร่ ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน  โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกใส่เป็นปุ๋ยรองพื้นตอนปลูก แล้วพรวนกลบลงในดิน ปริมาณครึ่งหนึ่งและใส่ครั้งที่ 2 ใส่แบบหว่านทั่วแปลง เมื่ออายุประมาณ 30 วันหลังปลูก เสริมด้วย การฉีดพ่น ปุ๋ยและฮอร์โมนธรรมชาติ ไบโอเฟอร์ทิล สูตร บำรุงต้น ขับไล่แมลง อัตรา 20 ซีซี + อาหารเสริมรวมสูตรเข้มข้น คีเลท อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 15-20 วัน เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ทำให้ได้ผลผลิตมากขึ้น

การกำจัดวัชพืช
กระเทียมเป็นพืชที่มีรากตื้น ดังนั้นควรกำจัดวัชพืชในระยะที่วัชพืชเริ่มงอก ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ นอกจากจะแย่งน้ำอาหารและแสงแดดจากกระเทียมแล้ว เมื่อถอนจะทำให้รากของกระเทียมกระเทือนทำให้ชะงักการเจริญเติบโต หรือทำให้ต้นเหี่ยวตายได้ ฉะนั้นเมื่อวัชพืชมี ขนาดใหญ่ควรใช้มีดหรือเสียมมือเล็ก ๆ แซะวัชพืชออก
สารเคมีกำจัดวัชพืชที่เกษตรกรในบ้านเรานิยมใช้กันมากคืออะลาคอร์ อัตรา 0.36-.045 กก.ต่อไร่ (ของ เนื้อยาบริสุทธิ์) โดยพ่นคุลมดินหลังปลูกก่อนที่กระเทียมและวัชพืชงอก นอกจากนี้ยังใช้ยาพาราควอตซ์พ่นตามร่องน้ำระหว่างแปลงทุกครั้งหลังจากให้น้ำ

การป้องกันกำจัดโรค-แมลง
กระเทียมมีโรค-แมลงรบกวนมากทั้งในระยะที่กำลังเจริญเติบโต ( จะทำให้ผลผลิตลดลงต่ำมาก) และหลังการเก็บเกี่ยว ดังนี้
โรคที่สำคัญของกระเทียม

1.โรคใบเน่า
ลักษณะอาการ เริ่มแรกจะมีแผลเกิดขึ้นบนใบกระเทียม ลักษณะเป็นจุดสีเขียวหม่นและขยายออกไปเป็นแผลรูปยาวรี มองเห็นเป็นรอยบุ๋มเล็กน้อย ใบหนึ่ง ๆ อาจมีหลายแผลติดกัน จนใบแห้งและหักพับลงมา ทำให้ใบพืชไม่สามารถปรุงอาหารตามปกติได้ ถ้าเป็นในระยะที่ลงหัว หรือหัวแก่จัด และเกษตรกรเก็บรักษาหัวนั้นไว้ เชื้อโรคนี้อาจจะไปแพร่ระบาดในโรงเก็บได้
การป้องกันกำจัด
-           เก็บส่วนใบที่เป็นแผลทิ้ง หรือเผาไฟ
-           สารเคมี ให้ใช้ชื่อสามัญจำพวก เบนโนมิล ทุก 7 วัน ถ้าเป็นมากควรพ่นให้ถี่ขึ้นเป็น 3-5 วัน หรือเพิ่มความเข้มข้นของยาเป็น 2 เท่า
-           ชีวภาพ แนะนำให้ใช้ ชีวภัณฑ์กำจัดโรครา ไตรโคแม็ก อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น ทุก ๆ 3-5 วัน ซ้ำจนหายขาด
2. โรคใบจุดสีม่วง มีเชื้อรา เป็นสาเหตุ

ลักษณะอาการ เกิดกับใบกระเทียม เริ่มแรกจะมีแผลหรือจุดสีขาวก่อน และจะขยายใหญ่เป็นแผลรูปยาวรี สีน้ำตาลอ่อนหรือม่วง ขอบแผลสีน้ำตาลเข้มหรือเหลือง แผลมีทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ในแต่ละใบอาจมีมากกว่า 1 แผล ทำความเสียหายแก่กระเทียมเช่นเดียวกับโรคใบเน่า และสามารถทำลายได้ทุกระยะการเจริญเติบโต มีการเก็บเกี่ยวก่อนกำหนด หัวกระเทียมที่ได้ไม่แก่จัด ไม่เหมาะที่จะใช้ทำพันธุ์และทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลง
การป้องกันกำจัด คล้าย ๆ กับโรคใบเน่า และเฉพาะโรคชนิดนี้งดใช้ยากันราประเภทดูดซึมพวกเบนเลท
นอกจากนี้ก็มีโรคราน้ำค้าง ราดำ หัวและรากเน่าคอดินและเน่าเละ เป็นต้น

แมลงศัตรูที่สำคัญ
1. ไรขาวหรือไรหอมกระเทียม
ลักษณะอาการ เป็นแมลงตัวเล็ก ๆ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดูดกินน้ำเลี้ยงตามใบพืช ทั้งอ่อนและแก่ สามารถเจริญเติบโตและแพร่ขยายอย่างรวดเร็วในสภาพอากาศที่ค่อนข้างแห้งแล้งใน ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ทำให้ใบและยอดอ่อนของกระเทียม มีอาการ หงิก งอ ม้วนตัวแน่น ไม่คลี่ยาวเหยียดไป และจะระบาดรวดเร็วมากในไม่ช้า ใบก็จะเริ่มมีลายสีเขียวอ่อนและขาว จนในที่สุดเป็นสีเหลืองฟางข้าวและใบแห้งเหี่ยวคล้ายใบไหม้
การป้องกันกำจัด
- หมั่นตรวจดูแปลงกระเทียม ถ้าพบว่ากระเทียมแสดงอาการดังกล่าวให้รีบถอนทิ้ง
- ฉีดพ่นสารเคมีกำจัดแมลง(ชื่อสามัญ)จำพวก คาร์โบซัลแฟน หรือ ฟิโปรนิล หรือ อิมิดาโคลพริด ทุก 3-5 วันต่อครั้ง ประมาณ 4-5 ครั้ง จนแน่ใจว่าหยุดลุกลาม จึงฉีดยาให้มีระยะห่างได้
- กรณีใช้สารชีวภาพ(ปลอดสารพิษ) ให้ใช้ ชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เมทาแม็ก อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 3-5 วันต่อครั้ง ซ้ำจนหายขาด
2.เพลี้ยไฟหอม
ลักษณะอาการ ลำตัวขนาดยาว 1-1.2 มม. ตัวอ่อนสีน้ำตาลอ่อนถึงเขียว ตัวแก่สีเหลืองซีดถึงน้ำตาลอ่อน ทำลายกระเทียมโดยดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบ ทำให้เป็นจุดสีขาวซีด บางครั้งเป็นจุดลึกลงไปทำให้ใบซีดขาวและเหี่ยวแห้ง
การป้องกันกำจัด
- ฉีดพ่นสารเคมีกำจัดแมลง(ชื่อสามัญ)จำพวก ไซเปอร์เมธริน หรือ อิมิดาโคลพริด ทุก 3-5 วันต่อครั้ง ประมาณ 4-5 ครั้ง จนแน่ใจเพลี้ยไฟถูกกำจัด
- กรณีใช้สารชีวภาพ(ปลอดสารพิษ) ให้ใช้
ชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เมทาแม็ก อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 3-5 วันต่อครั้ง ซ้ำจนหายขาด

การเก็บเกี่ยว : ลักษณะการแก่จัดของกระเทียม สามารถสังเกตได้ดังนี้
-           มีตุ่มหรือหัวขนาดเล็ก ๆ เกิดขึ้นที่ลำต้นของกระเทียมตั้งแต่ 1 ตุ่มขึ้นไป
-           ส่วนของยอดเจริญขึ้นมาหมดแล้วและกำลังมีต้นดอกชูขึ้นมา
-           ใบกระเทียม เริ่มแห้งตั้งแต่ปลายใบลงมามากกว่า 30%
-           ใบหรือต้นกระเทียม เอนหัก ล้มนอนไปกับพื้นดิน 25 % ขึ้นไปฃ
-           ดอก หรือโคนลำค้น บีบดูจะรู้สึกอ่อนนิ่ม
โดยทั่วไปกระเทียมจะมีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 100-120 วันหลังปลูกหรือเมื่อถึงระยะเวลาเก็บเกี่ยวใบจะแห้ง ถ้าเก็บเกี่ยวช้าเกินไปจะทำให้กลีบร่วงได้ง่ายและได้กระเทียมที่มีคุณภาพไม่ ดี
วิธีเก็บเกี่ยว
ถอนและตากแดดในแปลงประมาณ 2-3 ชั่วโมง โดยวางสลับกันให้ใบคลุมหัวเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแสงแดด โดยตรง ตากไว้ 2-3 วัน ระวังอย่าให้ถูกฝนและน้ำค้างแรงในเวลากลางคืน นำมาผึ่งลมในที่ร่มสักระยะหนึ่ง ประมาณ 5-7 วัน ให้หัวและใบแห้งดี หลังจากนั้นนำมาคัดขนาดและมัดจุกตามต้องการ
การเก็บรักษา
กระเทียมที่มัดจุกไว้นำไปแขวนไว้ในเรือนโรงเปิดฝาทั้ง 4 ด้าน หรือใต้ถุนบ้านที่มีการถ่านเทอากาศดี ไม่ถูกฝน หรือน้ำค้าง รวมทั้งแสงแดด ประมาณ 3-4 สัปดาห์ จะทำให้กระเทียมแห้งสนิท คุณภาพดี จึงนำลงมากองสุ่มรวมกันเพื่อเก็บรักษาหรือขายต่อไป กระเทียมหลังจากเก็บ 5-6 เดือน จะสูญเสียน้ำหนักไปประมาณ 30% ถ้าหากเก็บข้ามปีจะมีส่วนสูญเสีย 60-70%
การเก็บพันธุ์
เลือกคัดเอาหัวที่มีลักษณะรูปทรงของพันธุ์ ดี สมบูรณ์ปราศจากโรคและแมลงทำลาย และแก่เต็มที่แล้ว โดยทั่วไปนิยมคัดหัวที่มีขนาดกลาง มีกลีบประมาณ 3-6 กลีบ นำมาผึ่งในที่ร่มจนแห้งดี ทำการมัดรวมกันแล้วแขวนไว้ในที่ร่มมีลมพัดผ่าน การถ่ายเทอากาศดี ไม่ควรแกะกระเทียมเป็นกลีบ ๆ ขณะเก็บรักษาเพราะจะทำให้ผลผลิตลดลง เมื่อแกะแล้วควรจะนำไปใช้ปลูกทันที
กระเทียมจะมีระยะพักตัวประมาณ 5-6 เดือน ถ้าสภาพอากาศเหมาะสมกระเทียมจะงอกได้ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป กระเทียมที่เก็บรักษาไว้จะต้องนำปลูกก่อนเดือนกุมภาพันธุ์ถ้าหากไม่นำลงปลูก จะฝ่อเสียหาย หรืองอกทั้งหมด.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น