แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข้าวใช้ยักษ์เขียว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข้าวใช้ยักษ์เขียว แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการปลูกลองกอง

แหล่งเพาะปลูกที่เหมาะสม
ลองกองเป็นไม้ผลที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน ดังนั้นสภาพอากาศที่ปลูกลองกองควรมีอากาศร้อนและชุ่มชื้น
-    อุณหภูมิ 20-30 องศาเซลเซียส
-    ความชื้นในอากาศ 70-80%
-    ปริมาณน้ำฝน 2000-3000 มิลลิเมตรต่อปี
-    ระดับความสูงน้อยกว่า 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล
-    ดินควรเป็นดินร่วนปนทรายมีอินทรียวัตถุสูง มีการระบายน้ำดีและต้องมีแหล่งน้ำเพียงพอที่จะให้กับลองกองตามเวลาที่ต้องการ
การปลูก
ลองกอง สามารถปลูกด้วยต้นกล้าที่เพาะจากเมล็ดโดยตรง หรือต้นกล้าที่เปลี่ยนยอดแล้ว การเปลี่ยนยอดทำได้หลายวิธี คือ การเสียบยอด การเสียบข้าง การทาบกิ่ง และติดตา ก่อนปลูกลองกอง ควรเตรียมพื้นที่วางระบบน้ำ และปลูกพืชให้ร่มเงาให้เรียบร้อย
การเตรียมต้นกล้า
ต้นกล้าที่ใช้ควรมีอายุตั้งแต่ 1 ปี สมบูรณ์แข็งแรง ใบยอดคู่สุดท้ายแก่เต็มที่ ก่อนปลูกค่อย ๆ งดน้ำและปุ๋ย และเพิ่มแสงให้มากขึ้นทีละน้อย
การปรับพื้นที่
ควรขุดตอและรากไม้เก่าออกให้หมด ไถตากดินไว้ 10-15 วัน แล้วปรับพื้นที่ให้เสมอ
การวางระบบน้ำ
การปลูกลองกองเป็นการค้า จำเป็นต้องมีระบบน้ำ ควรใช้ระบบพ่นฝอย (มินิสปริงเกอร์) เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการและดูแลรักษา
ระยะปลูก
ถ้าปลูกแซมกับพืชอื่นระยะปลูกที่ใช้ขึ้นกับพืชหลัก (พืชประธาน)
ถ้าปลูกเป็นพืชเดี่ยว ควรใช้ระยะระหว่างต้น 4-6 เมตรและ ระหว่างแถว 6-8 เมตร
พืชที่ให้ร่มเงา
ปลูก ในสวนที่ปลูกลองกองพืชเดี่ยว เช่น กล้วย ยอป่า ทองหลาง แคฝรั่ง และสะตอ เป็นต้น และควรมีพืชบังลม เช่น กระถิน ไผ่ และสน รอบ ๆ สวนด้วย
การเตรียมหลุมปลูก
ขึ้นกับสภาพของดิน และการวางระบบน้ำ
กรณีที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ การขุดหลุมไม่จำเป็นต้องทำ หลังจากกำหนดแนวและจุดปลูกแล้ว ให้โรยหินฟอสเฟตบริเวณก้นหลุม ประมาณ 500 กรัม พรวนคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน
ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ควรขุดหลุมขนาด กว้าง ลึก และยาว ด้านละ 50 ซม. ใส่ วัสดุปรับปรุงดินเกรดAAA ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 1 กิโลกรัมต่อหลุม และหินฟอสเฟต 1.5 กระป๋องนมข้น คลุกกับดินที่ขุดหลุมแล้วกลบคืนลงในหลุม 2 ใน 3 ของหลุม
ฤดูปลูก
ควรปลูกต้นฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน) แต่ถ้ามีน้ำรดเพียงพอก็สามารถปลูกในฤดูร้อนได้
การปฏิบัติดูแลหลังจากปลูก
หลังจากปลูกควรมีวัสดุคลุมโคน เช่น ฟางข้าว แกลบ ใบกล้วย หรือทางมะพร้าว และทำร่มเงาโดยใช้ ตาข่ายพรางแสง ทางมะพร้าว หรือปาล์มน้ำมัน  และ ทำการพรวนดินบริเวณรอบโขด(ความลึกประมาณ 1 หน้าจอบหรือ 20-30 เซนติเมตร) เป็นวงกว้าง 1 เมตรรอบโขดเดิมหรือจากชายพุ่ม ทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง ประมาณ 3 ปี ก็จะทำให้ต้นลองกองเจริญเติบโต แตกรากหาอาหารได้ดี ให้ผลผลิตเร็ว
การให้น้ำ
ควร ให้อย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในฤดูแล้งที่ฝนทิ้งช่วง ในต้นที่ให้ผลผลิตแล้ว ควรให้น้ำสม่ำเสมอ จนกระทั่งแก่เต็มที่ จึงจะลดปริมาณน้ำและงดให้น้ำในที่สุดเพื่อกระตุ้นให้ลองกองสร้างตาดอก หลัง จากนั้น 30-50 วัน จึงเริ่มให้น้ำ
การใส่ปุ๋ย
ควรใส่ทั้งวัสดุปรับปรุงดินเกรดAAA ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง)และปุ๋ยเคมี หว่านปุ๋ยบริเวณใต้ทรงพุ่มโดยรอบ ห่างจากโคนต้นประมาณ 20-30 ซม. พรวนดินกลบ และใส่หลังจากตัดแต่งกิ่งและกำจัดวัชพืช
การตัดแต่งกิ่ง
ควรตัดแต่งกิ่งแห้ง เป็นโรค และกิ่งกระโดงออก  โดยให้แสงแดดสามารถส่องผ่านเข้าในทรงพุ่มได้บ้าง อย่าให้ทึบจนเกินไป จะทำให้เป็นแหล่งเพาะโรคและแมลงได้  หลังตัดแต่งแล้วควรใช้ยาป้องกันเชื้อราผสมน้ำ หรืออาจใช้น้ำผสมปูนกินหมาก ทาบริเวณแผลที่ตัดแต่ง เพื่อป้องกันเชื้อรา
การตัดแต่งช่อดอก
ควรทำในระยะที่ช่อดอกยาว 5-10 ซม. (สัปดาห์ที่ 3-5) ตัดให้เหลือ 1 ช่อต่อหนึ่งจุด (โดยให้แต่ละช่อห่างกัน 10-15 ซม.) แล้ว เลือกตัดช่อบริเวณปลายกิ่งที่มีขนาดเล็ก (เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 3 ซม.) ช่อที่ชี้ขึ้นบน ช่อที่สั้นและไม่สมบูรณ์ออก จำนวนช่อต่อต้นขึ้นกับขนาดทรงพุ่ม อายุ ความสมบูรณ์ ของต้น
การตัดแต่งช่อผล
ควรทำเมื่อผลมีอายุ 2-3 สัปดาห์หลังดอกบาน ตัดช่อที่มีผลร่วงมาก และช่อที่ผลเจริญเติบโตช้า ควรตรวจช่อผล ถ้าหากมีผลแตกหรือผลที่แคระแกร็น ควรเด็ดออกเพื่อให้ผลในช่อมีขนาดสม่ำเสมอ
การกำจัดวัชพืช
ควรใช้วิธีการตัด หรือถาก ขุด หรือถอน หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเพราะจะทำให้รากลองกองได้รับผลกระทบด้วย

 

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คู่มือการเพิ่มผลผลิตในนาข้าว

แผนการปฏิบัติงานเพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพ
สําหรับนาข้าวตั้งแต่การเริ่มปลูก-การทำผลผลิตคุณภาพ
ใน เขตชลประทานที่ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำ เหมาะที่จะทำนาดำหรือนาหว่านน้ำตมแผนใหม่ โดยนาดำให้เริ่มตกกล้ากลางเดือน กรกฎาคม ปักดำต้นสิงหาคม แล้วข้าวจะออกดอกประมาณ 20 ตุลาคม และเก็บเกี่ยวไดประมาณ 20 พฤศจิกายน ของทุกปี ส่วนนาหว่านน้ำตมแผนใหม่ ให้หว่านประมาณปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม แล้วเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน

นาดำ
การทำแปลง  จะต้องไถดะทิ้งไว้ประมาณ 15 วัน จึงไถแปรอีกครั้ง เพื่อกำจัดต้นอ่อนของวัชพืชที่งอกขึ้นมาใหม่แล้วคราดเพื่อดันวัชพืชให้จม อยู่ใต้โคลน ในขณะเดียวกันก็เกลี่ยโคลนปรับระดับหน้าดินไปด้วย จะทำให้ระดับน้ำในแปลงนาท่วมคลุมวัชพืชไดอย่างทั่วถึง
การดูแลให้ปุ๋ยในนาดำ
ผลผลิตจาก 400 กก. เพิ่มเป็น 1,000 กก. (คุณวันเพ็ญ สุดมี)
ปุ๋ยทางดิน
ครั้งที่ 1 ใสกอนปักดำไมเกิน 1 วัน หรือหลังปักดำประมาณ 10-20 วัน โดยวัสดุปรับปรุงดินเกรด AAA “ตรายักษ์เขียว”สูตรเข้มข้น(แถบเขียว) อัตรา 25-35 กิโลกรัมต่อไร่ ผสมกับปุ๋ยยูเรีย(46-0-0) อัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อลดต้นทุนและทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี โดยข้าวจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าการใส่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว  ซึ่งหากดินมีสภาพไม่เหมาะสม (คราดยาก หรือดินแข็งแตกระแหง และมีขี้เกลือขึ้น) แนะนำให้ใช้ผสมไบโอเฟอร์ทิล อัตรา 1 ลิตรต่อพื้นที่  3-5 ไร่ ใส่ไปกับน้ำ ที่ปล่อยเข้านา จะทำให้ดินมีสภาพดีขึ้น ต้นข้าวแตกกอได้ดี  และการปลูกคราวต่อไปจะสามารถไถคราดดินได้ง่าย สังเกตเห็นได้ชัดเจน
ครั้งที่ 2 ใสกอนขาวออกดอกประมาณ 30 วัน โดยใชสูตร 21-0-0 ในอัตรา 10 กิโลกรัมตอไร หรือปุยยูเรียสูตร 46-0-0 ในอัตรา 5-10 กิโลกรัมตอไร่ + วัสดุปรับปรุงดินเกรด AAA “ตรายักษ์เขียว”สูตรเข้มข้น(แถบเขียว)อัตรา 25-35 กิโลกรัมต่อไร่  หว่านพร้อมกัน
การฉีดพ่นฮอร์โมนทางใบ
สำหรับทางใบนั้น แนะนำให้ ฉีดพ่นปุ๋ยและฮอร์โมนธรรมชาติ ไบโอเฟอร์ทิล สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง อัตรา 20-30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ทุกเดือนละ 1 ครั้ง(จนถึงข้าวออกดอกใช้ประมาณ 3 ครั้ง)  จะทำให้ข้าวกอใหญ่ ต้นพุ่งไม่ล้ม เก็บเกี่ยวง่าย ติดรวงดีมาก  จากข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่ พบว่า แปลงข้าวของเกษตรกร ข้าวที่ได้มีเมล็ดเต็มเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว มากกว่า 95 %  ทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูง คุ้มค่าการลงทุน และยังช่วยลดปัญหาเรื่องแมลงศัตรูพืชอีกด้วย
          นาหว่าน
นาหว่านน้ำตมแผนใหม่ มีวิธีการเตรียมดินที่ยุ่งยากกว่า 2 วิธีที่ผ่านมา โดยเริ่มจากการไถดะทิ้งไวประมาณ 15 วัน
แล้วไถแปรทิ้งไวอีก 7 วัน จากนั้นไถแปรอีกครั้งแล้วคราดเก็บเศษวัชพืชออกให้หมด หรือ เหยียบขี้คราดดันเศษ วัชพืชต่างๆ ให้ลงไปอยู่ใต้โคลน แล้วจึงลูบเทือกให้เรียบสม่ำเสมอ แบ่งแปลงย่อยขนาดกว้าง 3-5 เมตร ทิ้งไว 1 คืน แล้วจึงหว่านเมล็ด หลังจากนั้น 4-5 วัน ให้ทยอยปล่อยน้ำเข้าท่วมหน้าดิน เพื่อคลุมวัชพืชที่งอกตามระดับความสูงของน้ำจนถึงระดับประมาณ 10-15  เซนติเมตร ต้นข้าวจะเจริญเติบโตพอที่จะคลุมวัชพืชได้
การดูแลให้ปุ๋ยในนาหว่าน  ควรใส่ 2 ครั้ง คือ
ครั้งที่ 1 ใส่หลังหว่านข้าวแล 20-30 วัน โดยใสวัสดุปรับปรุงดินเกรด AAA “ตรายักษ์เขียว”สูตรเข้มข้น(แถบเขียว)อัตรา 25-35 กิโลกรัมต่อไร่ ผสมกับปุ๋ยยูเรีย(46-0-0) อัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อ ลดต้นทุนและทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี โดยข้าวจะเจริญเติบโตได้ดีใกล้เคียงกับการใส่ปุ๋ยเคมี และหากดินมีสภาพไม่เหมาะสม (คราดยาก หรือดินแข็งแตกระแหง และมีขี้เกลือขึ้น) แนะนำให้ใช้ผสมไบโอเฟอร์ทิล อัตรา 1 ลิตรต่อพื้นที่  3-5 ไร่ ใส่ไปกับน้ำ ที่ปล่อยเข้านา จะทำให้ดินมีสภาพดีขึ้น ต้นข้าวแตกกอได้ดี  และการปลูกคราวต่อไปจะสามารถไถคราดดินได้ง่าย สังเกตเห็นได้ชัดเจน
ครั้งที่ 2 ใสกอนขาวออกดอกประมาณ 30 วัน โดยใชสูตร 21-0-0 ในอัตรา 10 กิโลกรัมตอไร หรือปุยยูเรียสูตร 46-0-0 ในอัตรา 5 กิโลกรัมตอไร่ + วัสดุปรับปรุงดินเกรด AAA “ตรายักษ์เขียว”สูตรเข้มข้น(แถบเขียว)อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านพร้อมกัน
การฉีดพ่นฮอร์โมนทางใบ
สำหรับทางใบนั้น แนะนำให้ฉีดพ่นปุ๋ยและฮอร์โมนธรรมชาติ ไบโอเฟอร์ทิล สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง อัตรา 20-30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ทุกเดือนละ 1 ครั้ง (ทั้งหมดจนถึงข้าวออกดอกใช้ประมาณ 3 ครั้ง)  จะทำให้ข้าวกอใหญ่ ต้นพุ่งไม่ล้ม เก็บเกี่ยวง่าย ติดรวงดีมาก  จากข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่ พบว่า แปลงข้าวของเกษตรกร ข้าวที่ได้มีเมล็ดเต็มเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว มากกว่า 95 %  ทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูง ช่วยลดปัญหาเรื่องแมลงศัตรูพืช
ป้าจำเนียร กับแปลงข้าวที่ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ด้วยไบโอเฟอร์ทิล
ข้อเปรียบเทียบหลังจากใช้ไบโอเฟอร์ทิล และยักษ์เขียว ตามคำแนะนำเป็นประจำ           
1.    ข้าวเจริญเติบโตได้ดี  เขียวทน ต้นแข็งแรง ไม่ล้มง่าย
2.    แมลงศัตรูพืชที่เข้า มารบกวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจำพวกผีเสื้อกลางคืนซึ่งเป็นตัวแม่ของหนอนชนิดต่าง ๆ รวมถึงเพลี้ยกระโดดและด้วงกัดกินใบ  ทำให้ประหยัดต้นทุนยากำจัดศัตรูพืช และลดความเสียหายได้ดีกว่า  (ในพื้นที่ที่มีการระบาดมาก หากใช้ไบโอเฟอร์ทิล ฉีดร่วมกับยากำจัดศัตรูพืช ก็จะทำให้สามารถคุมและป้องกันการเข้าทำลาย ได้นานขึ้น)
3.    ใบข้าวเขียวเงาเป็นมัน อายุใบนานขึ้นทำให้ต้นไม่สูญเสียอาหารในการสร้างใบใหม่ (ไบโอเฟอร์ทิล เป็นสารธรรมชาติ ไม่กัดผิวใบทำให้ใบด้านเหมือนการใช้เคมีอย่างเดียว)
4.    ผลผลิตเพิ่มขึ้น ข้าวได้น้ำหนักดี  เมล็ดเต็มมากกว่า 95% หมดปัญหาเรื่องข้าวเมล็ดลีบ
5.    พื้นดินสภาพดีขึ้น คราดง่าย
6.    สุขภาพผู้ปลูกดีขึ้น เนื่องจาก สัมผัสหรือจับต้องสารเคมีน้อยลง
7.    ยักษ์เขียว จะสามารถลดต้นทุน การใช้ปุ๋ยลงอีกประมาณ  20-50%