แหล่งเพาะปลูกที่เหมาะสม
ลองกองเป็นไม้ผลที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน ดังนั้นสภาพอากาศที่ปลูกลองกองควรมีอากาศร้อนและชุ่มชื้น
-    อุณหภูมิ 20-30  องศาเซลเซียส
-    ความชื้นในอากาศ 70-80%
-    ปริมาณน้ำฝน 2000-3000 มิลลิเมตรต่อปี
-    ระดับความสูงน้อยกว่า 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล
-    ดินควรเป็นดินร่วนปนทรายมีอินทรียวัตถุสูง มีการระบายน้ำดีและต้องมีแหล่งน้ำเพียงพอที่จะให้กับลองกองตามเวลาที่ต้องการ
การปลูก
ลองกอง สามารถปลูกด้วยต้นกล้าที่เพาะจากเมล็ดโดยตรง หรือต้นกล้าที่เปลี่ยนยอดแล้ว  การเปลี่ยนยอดทำได้หลายวิธี คือ การเสียบยอด การเสียบข้าง การทาบกิ่ง  และติดตา ก่อนปลูกลองกอง ควรเตรียมพื้นที่วางระบบน้ำ  และปลูกพืชให้ร่มเงาให้เรียบร้อย
การเตรียมต้นกล้า
ต้นกล้าที่ใช้ควรมีอายุตั้งแต่ 1 ปี สมบูรณ์แข็งแรง ใบยอดคู่สุดท้ายแก่เต็มที่ ก่อนปลูกค่อย ๆ งดน้ำและปุ๋ย และเพิ่มแสงให้มากขึ้นทีละน้อย
การปรับพื้นที่
ควรขุดตอและรากไม้เก่าออกให้หมด ไถตากดินไว้ 10-15 วัน แล้วปรับพื้นที่ให้เสมอ
การวางระบบน้ำ
การปลูกลองกองเป็นการค้า จำเป็นต้องมีระบบน้ำ ควรใช้ระบบพ่นฝอย (มินิสปริงเกอร์) เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการและดูแลรักษา
ระยะปลูก
ถ้าปลูกแซมกับพืชอื่นระยะปลูกที่ใช้ขึ้นกับพืชหลัก (พืชประธาน) 
ถ้าปลูกเป็นพืชเดี่ยว ควรใช้ระยะระหว่างต้น 4-6 เมตรและ ระหว่างแถว 6-8 เมตร
ถ้าปลูกเป็นพืชเดี่ยว ควรใช้ระยะระหว่างต้น 4-6 เมตรและ ระหว่างแถว 6-8 เมตร
พืชที่ให้ร่มเงา
ปลูก ในสวนที่ปลูกลองกองพืชเดี่ยว เช่น กล้วย ยอป่า ทองหลาง แคฝรั่ง และสะตอ  เป็นต้น และควรมีพืชบังลม เช่น กระถิน ไผ่ และสน รอบ ๆ สวนด้วย 
การเตรียมหลุมปลูก
ขึ้นกับสภาพของดิน และการวางระบบน้ำ
กรณีที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ การขุดหลุมไม่จำเป็นต้องทำ หลังจากกำหนดแนวและจุดปลูกแล้ว ให้โรยหินฟอสเฟตบริเวณก้นหลุม ประมาณ 500 กรัม พรวนคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน
ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ควรขุดหลุมขนาด กว้าง ลึก และยาว ด้านละ 50 ซม. ใส่ วัสดุปรับปรุงดินเกรดAAA ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 1 กิโลกรัมต่อหลุม และหินฟอสเฟต 1.5 กระป๋องนมข้น คลุกกับดินที่ขุดหลุมแล้วกลบคืนลงในหลุม 2 ใน 3 ของหลุม 
ฤดูปลูก
ควรปลูกต้นฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน) แต่ถ้ามีน้ำรดเพียงพอก็สามารถปลูกในฤดูร้อนได้ 
การปฏิบัติดูแลหลังจากปลูก
หลังจากปลูกควรมีวัสดุคลุมโคน เช่น ฟางข้าว แกลบ ใบกล้วย หรือทางมะพร้าว และทำร่มเงาโดยใช้ ตาข่ายพรางแสง ทางมะพร้าว หรือปาล์มน้ำมัน  และ ทำการพรวนดินบริเวณรอบโขด(ความลึกประมาณ 1 หน้าจอบหรือ 20-30 เซนติเมตร)  เป็นวงกว้าง 1 เมตรรอบโขดเดิมหรือจากชายพุ่ม ทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง ประมาณ 3  ปี ก็จะทำให้ต้นลองกองเจริญเติบโต แตกรากหาอาหารได้ดี ให้ผลผลิตเร็ว
การให้น้ำ
ควร ให้อย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในฤดูแล้งที่ฝนทิ้งช่วง ในต้นที่ให้ผลผลิตแล้ว  ควรให้น้ำสม่ำเสมอ จนกระทั่งแก่เต็มที่  จึงจะลดปริมาณน้ำและงดให้น้ำในที่สุดเพื่อกระตุ้นให้ลองกองสร้างตาดอก หลัง  จากนั้น 30-50 วัน จึงเริ่มให้น้ำ
การใส่ปุ๋ย
ควรใส่ทั้งวัสดุปรับปรุงดินเกรดAAA ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง)และปุ๋ยเคมี หว่านปุ๋ยบริเวณใต้ทรงพุ่มโดยรอบ ห่างจากโคนต้นประมาณ 20-30 ซม. พรวนดินกลบ และใส่หลังจากตัดแต่งกิ่งและกำจัดวัชพืช 
การตัดแต่งกิ่ง
ควรตัดแต่งกิ่งแห้ง เป็นโรค และกิ่งกระโดงออก  โดยให้แสงแดดสามารถส่องผ่านเข้าในทรงพุ่มได้บ้าง อย่าให้ทึบจนเกินไป จะทำให้เป็นแหล่งเพาะโรคและแมลงได้  หลังตัดแต่งแล้วควรใช้ยาป้องกันเชื้อราผสมน้ำ หรืออาจใช้น้ำผสมปูนกินหมาก ทาบริเวณแผลที่ตัดแต่ง เพื่อป้องกันเชื้อรา
การตัดแต่งช่อดอก
ควรทำในระยะที่ช่อดอกยาว 5-10 ซม. (สัปดาห์ที่ 3-5) ตัดให้เหลือ 1 ช่อต่อหนึ่งจุด (โดยให้แต่ละช่อห่างกัน 10-15 ซม.) แล้ว เลือกตัดช่อบริเวณปลายกิ่งที่มีขนาดเล็ก (เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 3 ซม.) ช่อที่ชี้ขึ้นบน ช่อที่สั้นและไม่สมบูรณ์ออก จำนวนช่อต่อต้นขึ้นกับขนาดทรงพุ่ม อายุ ความสมบูรณ์ ของต้น
การตัดแต่งช่อผล 
ควรทำเมื่อผลมีอายุ 2-3  สัปดาห์หลังดอกบาน ตัดช่อที่มีผลร่วงมาก และช่อที่ผลเจริญเติบโตช้า  ควรตรวจช่อผล ถ้าหากมีผลแตกหรือผลที่แคระแกร็น  ควรเด็ดออกเพื่อให้ผลในช่อมีขนาดสม่ำเสมอ
การกำจัดวัชพืช
ควรใช้วิธีการตัด หรือถาก ขุด หรือถอน หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเพราะจะทำให้รากลองกองได้รับผลกระทบด้วย
ตารางปริมาณที่ใส่ขึ้นกับอายุและขนาดของต้น
| ปีที่ 1 | ทางดิน  ใส่วัสดุปรับปรุงดินเกรดAAA ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 0.5-1 กก./ต้น ทุก ๆ 45 วัน            ใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ ปีละ 2 ครั้ง ช่วงฤดูฝน อัตรา 0.3 กิโลกรัม/ต้น/ครั้ง ทางใบ   ฉีดพ่นไบโอเฟอร์ทิล   สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง อัตรา 30-50 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร   ทุก ๆ เดือน เดือนละ 1 ครั้ง | 
| ปีต่อ ๆ ไป (ยังไม่ให้ผลผลิต)  | ทางดิน   ใส่วัสดุปรับปรุงดินเกรดAAA ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 0.5-1 กก./ต้น ทุก ๆ 45 วัน             ใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ 16-16-16 ปีละ 2 ครั้ง   ช่วงฤดูฝน อัตรา 0.3 กิโลกรัม/ต้น/ครั้ง ทางใบ   ฉีดพ่นไบโอเฟอร์ทิล   สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง อัตรา 50 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร ทุก ๆ เดือน เดือนละ 1   ครั้ง    หรืออาจใช้เฉพาะในช่วงที่แตกใบอ่อน ห่างกัน 7-10 วัน(ประมาณ 4 ครั้ง)   เพื่อให้ใบและกิ่งที่แทงออกมาสมบูรณ์ และป้องกันแมลงเข้าทำลาย   | 
| ก่อนออกดอกหรือกักน้ำบังคับ ประมาณ   1.5-2 เดือน  | ทางดิน   ครั้งแรกใส่วัสดุปรับปรุงดินเกรดAAA ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 0.5-1 กก./ต้น ทุก ๆ 45 วัน              ครั้งที่สอง   ห่างจากครั้งแรก 30 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ 16-16-16   อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น/ครั้ง ทางใบ   ก่อนเว้นน้ำ 2-3 อาทิตย์ ฉีดพ่นปุ๋ยเกล็ดสูตร 0-52-34   หรือ 10-52-17 อัตรา 2   ช้อนแกง(30-50 กรัม)/   น้ำ 20 ลิตร ห่างกัน 7-10 วัน   ประมาณ 2-3 ครั้ง | 
| ระยะเริ่มแทงช่อดอก(ขึ้นน้ำ) | ทางใบ    ฉีดพ่นไบโอเฟอร์ทิล   สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง อัตรา 30-50 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร   เพื่อกระตุ้น เร่งช่อดอก ทุก ๆ 7-10 วัน จนดอกบาน จะได้ช่อดอกที่สมบูรณ์   ติดผลได้ดี ดกมาก  (ไบโอเฟอร์ทิล   สามารถฉีดได้แม้ในช่วงดอกเริ่มบาน เพราะไม่มีผลเสียใด ๆ   และทำให้ขั้วดอกเหนียวไม่ร่วงง่ายอีกด้วย) | 
| ระยะติดผลอายุ 1-2 สัปดาห์ | ทางใบ   ฉีดพ่นไบโอเฟอร์ทิล   สูตรเร่งขนาดผล  อัตรา 50 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร ทุก ๆ 14-21 วัน  จะทำให้ผลลองกองขยายขนาดได้ดี  มีขนาดเสมอกัน ขั้วเหนียว | 
| ระยะติดผลอายุ 1 เดือน   จนถึงเก็บเกี่ยว | ทางดิน  ใส่วัสดุปรับปรุงดินเกรดAAA ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 1 กก./ต้น ทุก ๆ 30-40 วัน  สลับกับปุ๋ยสูตร  13-13-21 หรือ   สูตรที่เน้นตัวหน้าและหลัง เพื่อเน้นขนาดผล อัตรา 0.5 กก./ต่อต้น ทุก ๆ 30-40 วัน โดยใส่สลับกันเที่ยวเว้นเที่ยว ทางใบ   ฉีดพ่น ไบโอเฟอร์ทิล   สูตรเร่งขนาดผล  อัตรา 30-50 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร ทุก ๆ 14-21 วัน  จะกระตุ้นผลลองกองขยายขนาดได้ดี  มีขนาดเสมอกัน ขั้วเหนียว             ช่วงนี้ฉีดเสริมด้วย แคล-แม็ก อัตรา 15-20   ซีซี/น้ำ 20 ลิตรและอาหารรองและเสริมทางใบ   “ออล-วัน 100” อัตรา 5-10 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร ทุก ๆ 20 วัน เพื่อเสริมให้ผลผลิตได้คุณภาพดี(ลูกไม่บิดเบี้ยว, เนื้อแน่น ได้น้ำหนักต่อลูกดี) | 
ข้อเปรียบเทียบหลังจากใช้ตามคำแนะนำเป็นประจำ
1.    เมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นแล้ว  จะพบว่าผลผลิตที่ได้จะมีคุณภาพดี โดยที่เทียบเปอร์เซ็นต์ต้นทุนรวมของปุ๋ยทางดินและทางใบลดลงประมาณ 40-50%  รสชาติดีขึ้น คุณภาพผลผลิต  ปริมาณ และราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 150-200%   เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ทำให้ได้เปรียบกว่าสวนอื่น ๆ ที่ลงทุนปุ๋ยและยาปริมาณมาก ๆ  (ข้อมูลที่ได้จากการลงสำรวจแปลงลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ตามคำแนะนำของทางบริษัทฯ ในหนึ่งรอบฤดูเก็บเกี่ยว)
2.    การป้องกันแมลงศัตรูพืชก่อนที่จะเข้ามาทำลายต้นและผลผลิต โดยการใช้ ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง)นั้นจะประหยัดต้นทุนและลดความเสียหายได้ดีกว่า  การใช้ยาฆ่าแมลงกำจัดเมื่อมีการระบาด ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองต้นทุนมาก และมีความเสี่ยงที่แมลงจะดื้อยา ทำให้ต้องใช้ยาแรงขึ้น  สิ้นเปลืองทั้งเงินและสุขภาพของผู้ใช้เอง
3.    สำหรับในพื้นที่ ที่มีการปลูกพืชกันมาก  แนะนำให้ใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) สลับหรือร่วมกับการใช้สารเคมีควบคุม อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลและลดต้นทุนการผลิตการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.    เมื่อใช้ไบโอเฟอร์ทิล ติดต่อกันตามคำแนะนำจะเห็นได้ว่า ปัญหาเรื่องแมลงศัตรูพืช(โดยเฉพาะหนอนเจาะกินเปลือก) และโรคเชื้อราจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
5.    เมื่อใช้วัสดุปรับปรุงดินเกรดAAA ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง)เป็นประจำ ร่วมกับปุ๋ยเคมี จะสังเกตได้ว่า ต้นมีสภาพสมบูรณ์  บังคับดอกง่าย  ต้นทุนปุ๋ยเคมีจะลดลงกว่า 30-50%  โดยที่ผลผลิตยังได้ในเกณฑ์ดีกว่าการใช้เฉพาะปุ๋ยเคมี
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น