มาเผยแพร่ให้เกษตรกร,ผู้สนใจ,ฯลฯ ได้รู้ถึงประโยชน์, อันตราย, และความเป็นพิษ
เพื่อจะได้เลือกใช้สารเคมีอย่างระมัดระวัง(ในกรณีที่จำเป็น) มิได้ต้องการส่งเสริมให้เกษตรกรหรือผู้อ่านใช้สารเคมีเพิ่มขึ้น เพียงแต่หากจำเป็นต้องใช้สารเคมี
ก็ควรใช้อย่างรู้คุณและโทษของมันอย่างถูกต้อง และได้ประโยชน์ คุ้มค่ากับเงินลงทุนที่เสียไปทุกบาททุกสตางค์ และไม่ทำให้ผู้บริโภครวมถึงตัวเกษตรกรและผู้ใช้เองต้องตกเป็นเหยื่อของพิษภัย
จากการใช้สารเคมีโดยมิได้รู้แจ้ง ซึ่ง ทางผู้โพสหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับเกษตรกรและบุคคลทั่วไปไม่มากก็น้อย สำหรับท่านที่มีเพื่อน,มิตร,ญาติสนิท,ฯลฯ ที่ทำเกษตร หรือเกี่ยวข้องทางด้านนี้อยู่ ก็รบกวนช่วยนำไปเผยแพร่นะครับ ผมเองได้ข้อมูลมาตั้งแต่สมัยที่ยังทำการเกษตรอยู่ จาก หนังสือ "สารกำจัดศัตรูพืชในประเทศไทย" เป็นหนังสือที่หาค่อนข้างยาก ปัจจุบันไม่ทราบว่ามีตีพิมพ์อีกหรือไม่ แต่ข้อมูลก็ยังสามารถใช้ได้ดีอยู่ จึงอยากนำมาเผยแพร่ให้คนรักต้นไม้,เกษตรกร,หรือคนที่เกี่ยวข้องได้ทราบกัน
อะบาเม็คติน
(abamectin)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดไรและแมลงที่ประกอบด้วยสาร macrocyclic lactone glycoside ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการหมัก (fermentation) ออกฤทธิ์ในทางสัมผัส
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก 10 มก./กก. อาจทำให้ดวงตาเกิดอาการระคายเคืองได้เล็กน้อย
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนใยผัก หนอนม้วนใบ ไรสนิม ไรแดงและไรอื่น ๆ ด้วงมันฝรั่ง มดคันไฟ และแมลงอื่น ๆ
พืชที่ใช้ ส้มเขียวหวาน ส้มโอ ฝ้าย มันฝรั่ง พืชผักและไม้ผล ไม้ดอกและไม้ประดับทั่วไป
สูตรผสม 1.8% อีซี
อัตราการใช้ กำจัดแมลงศัตรูผักใช้อัตรา 20 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร
กำจัดแมลงศัตรูส้ม ใช้อัตรา 10 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร
กำจัดแมลงศัตรูพืชอื่น ๆให้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากฉลาก
วิธีใช้ ผสมกับน้ำกวนให้เข้ากันดีแล้วฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืช เมื่อตรวจพบว่ามีศัตรูพืช ฉีดซ้ำได้ตามความจำเป็น
อาการเกิดพิษ จะมีอาการม่านตาหรี่ หายใจไม่ออก ไม่ค่อยรู้สึกตัว ในรายที่มีอาการรุนแรง ผู้ป่วยอาจเซื่องซึม กล้ามเนื้อกระตุกและเกิดอาการชัก
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างด้วยน้ำกับสบู่มาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาด จำนวนมาก ๆ ถ้าเข้าปากให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ 1-2 แก้วทันทีและรีบทำให้อาเจียนด้วยการล้วงคอ ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ห้ามทำให้อาเจียนหรือให้สิ่งของทางปาก รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ สำหรับแพทย์ไม่มียาแก้พิษโดยเฉพาะ ต้องรักษาตามอาการที่ปรากฏ หากผู้ป่วยกินวัตถุมีพิษเข้าไป ทำให้อาเจียนภายใน 30 นาที หลีกเลี่ยงการให้ยา barbiturates,benzodiazepines, และ valproic acid
ข้อควรรู้ - เป็นพิษต่อปลาและผึ้ง
- เป็นสารที่ได้จากการหมักเชื้อจุลินทรีย์ในดิน ชื่อ Steptomyces avermitilis
- ออกฤทธิ์ได้ช้า ไรจะเคลื่อนไหวไม่ได้ภายหลังจากที่ถูกกับสารนี้
- มีความคงตัวและติดกับใบพืชได้แน่น
อะซีเฟท
(acephate)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง ออร์กาโนฟอสเฟท ออกฤทธิ์ได้ในทางดูดซึม (systemic) และทางสัมผัส (contact)
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 866-945 มก./กก. ทางผิวหนัง (กระต่าย) มากกว่า 10,250 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนกะหล่ำ หนอนกระทู้หอม หนอนใยผัก หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอ-อเมริกัน หนอนชอนใบ หนอนเจาะผลมะเขือเทศ หนอนเจาะฝักข้าวโพด เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาว ไรแดงและไรสนิม
พืชที่ใช้ ผักตระกูลกะหล่ำ ผักตระกูลคึ่นใช่(celery) ฝ้าย ข้าวโพด มะเขือเทศ ยาสูบ ส้ม มันฝรั่ง ถั่วแขก ถั่วลันเตา ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ไม้ดอก และไม้ประดับทั่วไป
สูตรผสม 75% เอส
อัตราการใช้และวิธีใช้ อัตราการใช้แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชที่จะใช้ โดยทั่วไปจะอยู่ในอัตรา 15-35 กรัม ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดให้ทั่วต้นพืช เมื่อพบเห็นว่ามีแมลงศัตรูพืชระบาด
อาการเกิดพิษ ถ้าเข้าตา จะทำให้เกิดอาการระคายเคือง ม่านตาหรี่และตาพร่ามัว ถ้ากลืนกินเข้าไปหรือสูดดม จะมีผลต่อระบบประสาท มีน้ำลายและน้ำมูกออกมาก เหงื่อออก เป็นตะคริว คลื่นไส้ อาเจียน น้ำตาไหล มีอาการสั่นและชัก หากคนไข้รับพิษเข้าไปในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงและถึงตายได้
การแก้พิษ ถ้าเกิดพิษเนื่องจากกินเข้าไป รีบทำให้คนไข้อาเจียนโดยให้ดื่มน้ำเกลืออุ่น (เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว) ถ้าสัมผัสผิวหนัง ให้รีบล้างด้วยสบู่กับน้ำจำนวนมาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ ยาแก้พิษคือ อะโทรปินซัลเฟท (atropine sulphate) โดยฉีดแบบ IV ขนาด 2 มก.และให้ฉีดซ้ำทุก ๆ 3-8 นาที จนเกิดอาการ atropinization อาจให้ยาได้ถึง 12 ครั้งภายใน 2 ชั่วโมง สำหรับยา 2-PAM สามารถให้ร่วมกับอะโทรปินซัลเฟทได้
ข้อควรรู้ - สารออกฤทธิ์อยู่ได้นาน 10-15 วัน
- รายละเอียดในการใช้อย่างอื่น ควรดูจากฉลาก
- ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว สำหรับพืชผัก 14 วัน ฝ้ายให้ใช้ก่อน 21 วัน
ออลดิคาร์บ
(aldicarb)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง ไรและไส้เดือนฝอย คาร์บาเมท(carbamate) ออกฤทธิ์ในทางดูดซึม และเป็น cholinesterase inhibitor
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 0.9 มก./กก. ชนิด 10 % จี
มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 7.0 มก./กก. ทางผิวหนัง 2,100-3,970 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยหอย เพลี้ยแป้ง แมลงหวี่ขาวมวนต่างๆ ไรแดง แมลงเต่าทอง หนอนม้วนใบและไส้เดือนฝอย
พืชที่ใช้ ฝ้าย อ้อย มะเขือเทศในระยะเริ่มปลูก ถั่วลิสง ส้ม ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ข้าวฟ่าง กาแฟและไม้ดอกไม้ประดับต่าง ๆ
สูตรผสม 10 % จี
อัตราการใช้และวิธีใช้ แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ชนิดพืชและวิธีใช้ ควรศึกษาจากฉลากที่ติดข้างภาชนะบรรจุให้ละเอียดก่อนใช้
อาการเกิดพิษ ผู้ได้รับพิษจะมีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน ตื่นเต้น ตาพร่า อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน จุกแน่นหน้าอก เหงื่อออกมาก ม่านตาหรี่ น้ำตาและน้ำลายไหล หายใจถี่ ลมหายใจจะค่อย ๆ อ่อนลง กล้ามเนื้อกระตุก ชักและหมดสติในที่สุด
การแก้พิษ ถ้าเกิดพิษที่ผิวหนังให้รีบล้างด้วยน้ำกับสบู่จำนวนมาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดนานประมาณ 15 นาที ถ้ากลืนกินเข้าไป อย่าทำให้อาเจียน ให้คนไข้รับประทานแอ็คติเวทเต็ด ชาร์โคล (activated charcoal) 2-4 ช้อนโต๊ะ ละลายกับน้ำ 1 แก้ว แล้วนำผู้ป่วยส่งแพทย์
ข้อควรระวัง - ถ้าต้องการปลูกพืชอาหารอย่างอื่นที่นอกเหนือจากคำแนะนำในฉลากบนพื้นที่ที่ได้ใช้สารกำจัดแมลงชนิดนี้แล้ว ควรปลูกภายหลังจากใช้แล้วอย่างน้อย 8 สัปดาห์
- ทำให้เกิดอาการระคายเคืองดวงตา ผิวหนัง และระบบหายใจ
- เป็นอันตรายต่อปลา อย่าให้ปนเปื้อนกับน้ำในสระ บ่อ คลอง หรือแหล่งน้ำอื่น ๆ
- ให้ทำลายภาชนะบรรจุที่ใช้แล้วด้วยวิธีฝังหรือ เผาและอยู่ห่างไกลจากควัน
- อย่านำภาชนะบรรจุที่ใช้หมดแล้วมาใช้ใหม่ ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม
- เมื่อจะใช้ควรสวมใส่ถุงมือยางและเสื้อแขนยาว
- อย่าผสมออลดิคาร์บ 10 % จี กับน้ำ เพราะจะได้สารละลายที่มีอันตรายสูงมากและอย่าใช้เครื่องมือบด
ออลดริล
(aldrin)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง chlorinated hydrocarbon ออกฤทธิ์ในทางสัมผัส กินตาย และมีพิษทางหายใจ มีฤทธิ์ตกค้างยาวนาน
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) ประมาณ 67 มก./กก. ทางผิวหนังมากกว่า 200 มก./กก. มีอันตรายในทางสัมผัสที่เนื่องมาจากการใช้สูงมาก
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ มด ปลวก แมงกะชอน จิ้งหรีด
พืชที่ใช้ ในประเทศไทย ห้ามใช้กับพืชทุกชนิด
สูตรผสม 40% ดับบลิวพี และ ชนิดน้ำมัน
อัตราการใช้และวิธีใช้ กำจัดปลวกและแมลงในดินทั่วไป ใช้อัตรา 800-1,600 กรัม ผสมกับน้ำแล้วราด หรือพ่นให้ทั่วพื้นที่ 1 ไร่
อาการเกิดพิษ ผู้ได้รับพิษจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียและวิงเวียน
การแก้พิษ ถ้าพิษเกิดจากการสัมผัสที่ผิวหนัง ให้ล้างด้วยน้ำกับสบู่จำนวนมาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง ถ้าเข้าปากหรือกลืนกินเข้าไป ควรทำให้อาเจียนโดยเร็ว ด้วยการใช้นิ้วล้วงคอหรือให้ดื่มน้ำเกลืออุ่น (เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว) แล้วนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที
ข้อควรรู้ ปัจจุบันทางราชการไม่อนุญาตให้นำเข้ามาใช้ทางการเกษตร และถือเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ผู้มีไว้ในครอบครองจะมีความผิดตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 มีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อัลฟาไซเปอร์เมธริน
(alphacypermethrin)
การออกฤทธิ์ เป็นสารไพรีทรอยด์ที่ใช้กำจัดแมลง ออกฤทธิ์ในทางถูกตัวตายและกินตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก 79 มก./กก. ทางผิวหนัง มากกว่า 2,000 มก./กก. อาจทำให้ดวงตาและผิวหนังมีอาการระคายเคือง
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ด้วงงวง แมลงเต่าทอง หนอนชอนใบ แมลงวันผลไม้ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง แมลงหวี่ขาว เพลี้ยกระโดด หนอนม้วนใบ หนอนเจาะสมอ หนอนกระทู้หนอนคืบ เพลี้ยไฟและแมลงอื่น ๆ
พืชที่ใช้ ส้ม กาแฟ ฝ้าย ไม้ดอก ไม้ผล ผัก ข้าว ถั่วเหลือง ชา ยาสูบและพืชอื่น ๆ
สูตรผสม 10% อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้อัตรา 15 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วต้นพืช เมื่อพบว่ามีแมลงศัตรูพืชระบาด
อาการเกิดพิษ สำหรับผู้แพ้ ถ้าถูกผิวหนังจะมีอาการแสบร้อน หรือหมดความรู้สึกบริเวณนั้น อาการจะหายไปเองภายใน 2-3 ชั่วโมง ถ้าเข้าทางปากจะมีอาการระคายเคืองตามเยื่อบุปาก จมูก ลำคอ ไอ จาม คัดจมูก หายใจขัด ถ้ารับพิษมากจะมีอาการตัวสั่น ชักกะตุก
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนัง ต้องล้างด้วยน้ำกับสบู่จำนวนมาก ๆ หากเข้าตา ต้องล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง หากกลืนกินเข้าไปห้ามทำให้อาเจียนรีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที สำหรับแพทย์ ช่วยให้ผู้ป่วยหายใจสะดวก ล้างท้องโดยใช้ endotracheal tube แล้วให้ activated charcoal ตามด้วยโซเดียมซัลเฟททางสายยาง ระงับอาการตัวสั่น ชักกระตุก ด้วยยา diazepam รักษาตามอาการ
ข้อควรรู้ - ใช้กำจัดไรไม่ได้
- เป็นพิษต่อผึ้งและปลา
- ออกฤทธิ์ได้รวดเร็วและมีฤทธิ์ฆ่าไข่แมลงได้ด้วย
อลูมิเนียมฟอสไฟต์
(aluminium phosphide or phostoxin)
การออกฤทธิ์ เป็นสารรมควันพิษกำจัดแมลงศัตรูพืชในโรงเก็บ
ความเป็นพิษ เป็นอันตรายถึงชีวิตทันทีเมื่อหายใจเอาอากาศที่มี ไฮโดรเจน ฟอสไฟต์ (hydrogen phosphide) อยู่ 2 ส่วนในล้านส่วนเข้าไปในร่างกาย
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และ ตัวแก่ของแมลงศัตรูพืชในโรงเก็บ เช่น ด้วงงวงข้าว มอดข้าวเปลือก มอดแป้งมอดยาสูบ มอดฟันเลื่อย ด้วงงวงข้าวโพด ด้วงถั่วเขียว ด้วงถั่วเหลือง ด้วงกาแฟ ด้วงขาแดง ด้วงหนังสัตว์ ผีเสื้อข้าวเปลือก ผีเสื้อข้าวสารและผีเสื้อข้าวโพด
พืชที่ใช้ เมล็ดธัญพืชทุกชนิด เมล็ดฝ้าย เมล็ดถั่ว เมล็ดดอกไม้ เมล็ดทานตะวัน แป้งต่าง ๆ
สูตรผสม 59% และ 57% (เมล็ดกลมและแบน)
อัตราการใช้และวิธีใช้ ชนิดเม็ด ใช้ 6 เม็ดต่อน้ำหนักผลิตผล 1 ตัน ชนิด pellet ใช้ 10 เม็ดต่อน้ำหนักผลิตผล 1 ตัน โดยการหยอดเม็ดยาลงไปในแถวของผลิตผลด้วยมือ หรือถ้าเป็นไซโลอาจใช้เครื่องหยอดเม็ดอัตโนมัติก็ได้
อาการเกิดพิษ ถ้าได้รับแก๊สเข้าไปเพียงเล็กน้อยจะมีอาการอ่อนเพลีย หูอื้อ คลื่นไส้ แน่นหน้าอก กระสับกระส่าย เมื่อได้รับอากาศบริสุทธิ์ อาการเหล่านี้จะหายไป ถ้าได้รับแก๊สมากขึ้น นอกจากแสดงอาการดังกล่าวแล้ว จะมีอาการอาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง เจ็บหน้าอกและหายใจลำบาก เนื้อเขียว ทรงตัวไม่อยู่ โลหิตขาดออกซิเจน หมดสติและตายทันที
การแก้พิษ ให้รีบนำผู้ป่วยไปอยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ทันที พร้อมกับให้นอนนิ่ง ๆ และให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ให้ยาขับเสมหะและยาแก้ไอ
ข้อควรรู้ - ฟอสต๊อกซินจะปล่อยแก๊ส แอมโมเนียและคาร์บอนได้ อ๊อกไซด์ ออกมาพร้อมกับ hydrogen phosphide
- แก๊ส hydrogen phosphide เป็นแก๊สไวไฟ
- แก๊สนี้กัดกร่อนทองแดงและโลหะอื่นบางชนิด
- ออกฤทธิ์ช้า แมลงจะตายหมดภายใน 2-3 วัน
- เป็นพิษอย่างแรงเมื่อหายใจหรือกลืนกินเข้าไป
- ใส่ถุงมือยางหรือพีวีซี เมื่อจะใช้
- อย่าเปิดภาชนะบรรจุ ยกเว้นเมื่อต้องการใช้ทันที ควรเปิดในที่โล่งแจ้งเท่านั้น
- เก็บห่างไกลจากความชื้น น้ำ และเป็นที่เย็น-แห้ง อากาศถ่ายเทได้ดี ห่างไกลจากไฟและความร้อน
- ก่อนใช้ควรดูบริเวณที่จะใช้ให้แน่ใจว่า ไม่มีคนหรือ สัตว์อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
อะมิโนคาร์บ
(aminocarb)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงที่อยู่ในกลุ่มสารคาร์บาเมทออกฤทธิ์ในทางกินตายและถูกตัวตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 30 มก./กก. ทางผิวหนัง 275 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนผีเสื้อต่าง ๆ และแมลงกัดกินใบ
พืชที่ใช้ ฝ้าย ยาสูบ ไม้ผล และไม้ประดับ
สูตรผสม 50% และ 75% ดับบลิวพี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้ฉีดพ่นเมื่อพบเห็นแมลงครั้งแรก ให้ทั่วต้นพืช ใช้ซ้ำได้ตามความจำเป็น
การแก้พิษ ใช้ยา อาโทรปินซัลเฟท
ข้อควรรู้ - เป็นอันตรายต่อผึ้ง
อะมิทราช
(amitraz)
การออกฤทธิ์ เป็นสาร formamidine ที่ออกฤทธิ์กำจัดได้ทั้งไรและแมลง ไม่ออกฤทธิ์ในทางดูดซึม กำจัดไรได้ทุกระยะของการเจริญเติบโต
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 800 มก./กก. ทางผิวหนังมากกว่า 1,600 มก./กก. มีพิษกับผึ้งน้อยมาก
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ไรแมงมุมแดงและไรอื่น ๆ เพลี้ยอ่อน แมลงหวี่ขาวฝ้าย เพลี้ยหอย หนอนม้วนใบ ไข่ และหนอนผีเสื้อระยะแรก ตัวเบียฬภายนอกของสัตว์เลี้ยง รวมทั้งเห็บ เหาและไร
พืชที่ใช้ ส้ม สวนผลไม้ ไม้ดอก-ไม้ประดับ สตรอเบอร์รี่ ฝ้าย และพืชตระกูลแตง
สัตว์ที่ใช้ วัว ควาย หมู แกะ แพะและสุนัข
สูตรผสม 20% และ 12.5% อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ชนิด 20% อีซี ใช้ 80 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืช เมื่อพบเห็นว่า มีแมลงศัตรูพืชรบกวน สำหรับสัตว์ ใช้ได้ทั้งแบบพ่นบนตัวสัตว์และแบบจุ่ม โดยให้น้ำยามีความเข้มข้น 0.025-0.05% สารออกฤทธิ์
การแก้พิษ ถ้ามีอาการเป็นพิษเกิดที่ผิวหนัง ให้ล้างด้วยน้ำกับสบู่มาก ๆ ถ้าเข้าตา ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ สำหรับยาแก้พิษโดยเฉพาะยังไม่มี รักษาตามอาการที่ปรากฏ
ข้อควรรู้ - เป็นอันตรายต่อปลา
- ไม่เข้ากับสารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นด่าง
- ปลอดภัยต่อแมลงที่เป็นประโยชน์ทั้งหมด
- จะใช้ได้ผลดีเมื่อสภาพอากาศแห้ง อย่าใช้ ถ้ามีฝน
- มีอันตรายเมื่อถูกผิวหนังและกลืนกินเข้าไป
- ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว 2-7 สัปดาห์
อะซาเม็ทธิฟอส
(azamethiphos)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง organophosphate ออกฤทธิ์ในทางสัมผัสและกินตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก 1,180 มก./กก. อาจทำให้ดวงตาเกิดอาการระเคืองเล็กน้อย
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ไร เห็บ เหา หมัด ยุง แมลงวัน แมงมุม แมงป่องและด้วง
สถานที่ใช้ คอกไก่ และฟาร์มปศุสัตว์
สูตรผสม 50% ดับบลิวพี , 10% ดับบลิวพี , 1% Bait
อัตราการใช้และวิธีใช้ สำหรับสูตร 50% ใช้อัตรา 50 กรัมผสมกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นบนตัวสัตว์หรือบริเวณผนัง หลังคา ทากรงหรือคอกสัตว์ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากฉลากก่อนใช้
อาการเกิดพิษ ถ้าเข้าตาจะทำให้ระคายเคืองเล็กน้อย ถ้าเข้าปากหรือกลืนกินเข้าไปจำนวนมาก ๆ จะทำให้ cholinesterase enzyme ลดต่ำลง ผู้ป่วยอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดท้อง หายใจไม่สะดวก ม่านตาหรี่ เหงื่อออกมาก อาการจะทุเลาลงไปได้เองถ้าไม่ได้รับพิษยาเพิ่มขึ้น
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนังหรือเข้าตาให้ล้างด้วยน้ำจำนวนมาก ๆ ถ้ากลืนกินเข้าไป ทำให้คนไข้อาเจียนด้วยการล้างคอ หรือให้ดื่มน้ำเกลืออุ่น ๆ แล้วนำผู้ป่วยส่งแพทย์ สำหรับแพทย์ ยาแก้พิษคือ atropine sulfate รักษาตามอาการ
ข้อควรรู้ อาจผสมกับสารกำจัดศัตรูพืชอย่างอื่นได้ในขณะที่จะฉีดพ่น
อะซินฟอส-เอ็ทธิล
(azinphos ethyl)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง ออร์กาโนฟอสเฟท ประเภทถูกตัวตายและกินตาย เป็น cholinesterase inhibitor มีฤทธิ์ตกค้างยาวนาน และสามารถกำจัดไข่ได้ด้วย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) ประมาณ 17.5 มก./กก. ทางผิวหนัง ประมาณ 250 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนหลอดหอม หนอนคืบกะหล่ำ หนอนเจาะสมอสีชมพู หนอนชอนใบ หนอนใยผัก เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยจักจั่น ไรแดง ไรสนิม เพลี้ยไฟ มวนเขียว มวนดอกรัก แมลงหวี่ขาว แมลงปีกแข็งและด้วงต่าง ๆ
พืชที่ใช้ ส้ม ฝ้าย องุ่น สตรอเบอร์รี่ มันฝรั่ง ข้าว ไม้ผล ผักต่าง ๆ ยาสูบ กาแฟ และพืชอื่น ๆ
สูตรผสม 40% อี.ซี.
อัตราการใช้ อัตราการใช้แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับชนิดของพืช โดยทั่วไปจะใช้อยู่ในระหว่าง 15-40 ซีซี. ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ควรศึกษาจากฉลากให้แน่นอนก่อนใช้
วิธีใช้ ใช้ก่อนที่แมลงศัตรูจะระบาดหรือทำลายพืชผล โดยการฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืช ใช้ซ้ำเมื่อจำเป็น
อาการเกิดพิษ ผู้ที่ได้รับพิษจะมีอาการ ชีพจรเต้นช้า เหงื่อออกมาก ม่านตาหรี่ เวียนศีรษะ เมื่อยตัว อาเจียน ท้องร่วง ปัสสาวะบ่อยครั้ง ถ้าได้รับพิษมาก ๆ หัวใจจะหยุดเต้นและเสียชีวิต
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนังและมีอาการเป็นพิษ ให้รีบล้างด้วยน้ำกับสบู่หลาย ๆ ครั้ง ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำที่สะอาดมาก ๆ ถ้ากลืนกินเข้าไป ให้ผู้ป่วยกินยา อะโทรปินซัลเฟท ขนาด 1/100 เกรน 2 เม็ด แล้วรีบนำส่งแพทย์ทันที
ข้อควรรู้ - เป็นพิษต่อผึ้งและปลา มีฤทธิ์ตกค้างยาวนาน และออกฤทธิ์ได้กว้างขวาง
- ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว สำหรับสตรอเบอร์รี่และองุ่น ใช้ก่อน 5-10 วัน
- ผัก มันฝรั่ง และอื่น ๆ ใช้ก่อน 15-21 วัน
อะซินฟอส-เมทธิน
(azinphos-methyl)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงออร์กาโนฟอสเฟท ประเภทถูกตัวตายและกินตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 5-20 มก./กก. ทางผิวหนัง 220 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยหอย เพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ เพลี้ยจักจั่น แมลงหวี่ขาว มวนต่าง ๆ
พืชที่ใช้ ส้ม องุ่น สตรอเบอร์รี่ ฝ้าย ผักต่าง ๆ แตงโม แตงกวา ถั่ว ยาสูบ มะเขือเทศ มันฝรั่ง หอม มะเขือ อ้อย ไม้ผล ไม้ดอกและไม้ประดับ
สูตรผสม 40% อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ โดยทั่วไปใช้ในอัตรา 15-40 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร (ควรศึกษารายละเอียดก่อนใช้) ใช้ในอัตราที่สม่ำเสมอ ฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืชอย่างละเอียด และฉีดซ้ำได้ตามความจำเป็น
อาการเกิดพิษ ผู้ได้รับพิษจะมีอาการตาพร่ามัว ชีพจรเต้นช้า อ่อนเพลีย วิงเวียนคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดเกร็งในช่องท้อง เหงื่อและน้ำตาออกมาก ปวดปัสสาวะอย่างฉับพลันและมากกว่าปกติ แน่นหน้าอก หายใจขัด กระตุกตามปลายนิ้วมือและเท้า ถ้าได้รับพิษมาก ๆ หัวใจจะหยุดเต้นและตาย
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างด้วยสบู่กับน้ำมาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ ถ้าผู้ป่วยเกิดพิษเนื่องจากกลืนกินเข้าไปและมีอาการดังกล่าวปรากฏให้เห็น ให้ใช้ยาถ่ายพวกซาไลน์ เช่น ดีเกลือ (Epsom salt) พร้อมกับให้กินยาอะโทรปินซัลเฟท ขนาด 1/100 เกรน 2 เม็ด แล้วนำส่งแพทย์ทันที สำหรับยา ท๊อกโซโกนิน (Toxogonin) เป็นยาแก้พิษที่สามารถใช้รักษาร่วมกับอะโทรปินซัลเฟทได้
ข้อควรรู้ - อย่าให้สัตว์กินพืชที่ใช้สารกำจัดแมลงชนิดนี้
- เป็นพิษต่อปลาและสัตว์ปีกสูงมาก มีอันตรายต่อผึ้ง
- ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยว 5-10 วัน (ส้ม องุ่น สตรอเบอร์รี่)
อะโซไซโคลติน
(azocyclotin)
การออกฤทธิ์ เป็นสารประกอบของ heterocyclic tin ที่ใช้ในการกำจัดไร ออกฤทธิ์ในทางสัมผัส
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก 90 มก./กก. ทางผิวหนังประมาณ 1,000 มก./กก. อาจทำให้ดวงตาและผิวหนังระคายเคือง
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ไรชนิดต่าง ๆ
พืชที่ใช้ องุ่น ส้ม ไม้ผล และพืชผัก
สูตรผสม 25%-50% ดับบลิวพี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้อัตราตามที่กำหนดบนฉลาก ผสมกับน้ำกวนให้เข้ากันดี แล้วฉีดพ่นที่ใบให้ทั่วต้น เมื่อตรวจพบว่ามีไรกำลังทำลายพืช ใช้ซ้ำได้ตามความจำเป็น
ข้อควรรู้ - เป็นพิษต่อปลา ไม่เป็นอันตรายต่อผึ้ง
- กำจัดไรได้ทั้งในระยะตัวอ่อนและตัวแก่
- มีฤทธิ์ในการกำจัดแมลงอย่างอื่น
- ผสมได้กับสารกำจัดศัตรูพืชอื่น ๆ
บาซิลลัส ธูริงกิเอ็นซิส
(Bacillus thuringiensis)
การออกฤทธิ์ เป็นแบคทีเรีย (bacteria) ชนิดหนึ่งที่ทำให้หนอนและแมลงบางชนิดเป็นโรค และตายในท้ายที่สุด ออกฤทธิ์โดยการทำให้กระเพาะและไส้ของหนอนเป็นอัมพาตและหยุดกินอาหาร
ความเป็นพิษ ไม่เป็นอันตรายต่อคน สัตว์เลี้ยงและแมลงที่เป็นประโยชน์ ปลอดภัยต่อสภาพแวดล้อม
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนกระทู้ หนอนคืบกะหล่ำปลี หนอนหงอนยาสูบ หนอนใยผัก และหนอนผีเสื้ออื่น ๆ
พืชที่ใช้ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี่ คื่นฉ่ายและผักอื่น ๆ ฝ้าย พืชตระกูลแตง มะเขือ หอม กระเทียม องุ่น ส้ม ถั่วต่าง ๆ มันฝรั่ง ฟักทอง สตรอเบอร์รี่
สูตรผสม ชนิดดับบลิวพี.เอฟ (F) และชนิดน้ำ (aqueous)
อัตราการใช้ ศึกษาจากฉลากที่ปิดข้างภาชนะบรรจุ จะแตกต่างกันออกไปตามชนิดของสูตรผสม
วิธีใช้ ใช้เมื่อพบเห็นว่ามีแมลงศัตรูพืชครั้งแรก ให้ใช้ซ้ำทุกอาทิตย์เท่าที่จะจำเป็น โดยการฉีดพ่นให้ทั่วพื้นที่ ควรใช้ในช่วงตอนเย็นขณะที่มีอากาศร้อน – แห้ง
ข้อควรรู้ - สารกำจัดแมลงชนิดนี้ จะมีประสิทธิภาพและออกฤทธิ์ต่อเมื่อหนอนกินเข้าไป หนอนจะไม่ตายทันทีและยังคงเกาะอยู่บนต้นพืช หยุดกินอาหารและจะตายภายใน 2-3 วัน
- อย่าปล่อยให้สารละลายที่ใช้ฉีดพ่นอยู่ในถังนานเกินกว่า 12 ชั่วโมง
- อย่าเก็บไว้ในที่มีความร้อนสูงกว่า 90 องศาฟาเรนไฮ
เบ็นดิโอคาร์บ
(bendiocarb)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงคาร์บาเมท ที่ออกฤทธิ์ในทางถูกตัวตายและกินตาย เป็น cholinesterase inhibitor
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 40-120 มก./กก. ทางผิวหนังมากกว่า 1,000 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาว หนอนใยผัก ผีเสื้อมันฝรั่ง มวนต่าง ๆ ตัวอ่อนแมลงเต่าทอง ด้วง ด้วงงวง ไร แมลงสาบ แมลงสามง่าม ปลวก แตน หมัด ยุง ศัตรูพืชอื่น ๆ และศัตรูปศุสัตว์
พืชที่ใช้ มันฝรั่ง กะหล่ำ แตงโม พืชสวนต่าง ๆ ไม้ดอกไม้ประดับ รวมทั้งใช้กำจัดแมลงศัตรูในบ้านเรือน
สูตรผสม 20% , 80% ดับบลิวพี , 10% จี
อัตราการใช้และวิธีใช้ กำจัดแมลงทั่วไปใช้ในอัตรา 15-25 กรัม ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ควรอ่านรายละเอียดในฉลากเพิ่มเติมก่อนใช้ ใช้เมื่อปรากฏว่ามีแมลงศัตรูพืช โดยฉีดพ่นน้ำยาผสมให้ทั่วต้นพืช ฉีดซ้ำได้ตามความจำเป็น
อาการเกิดพิษ ผู้ที่ได้รับพิษจะมีอาการปวดศีรษะ มึนงง คลื่นเหียนอาเจียน ตาพร่า น้ำลายฟูมปาก เหงื่อออกมาก อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอก เป็นตะคริว ท้องร่วง ตัวสั่น กล้ามเนื้อกระตุก ถ้าได้รับพิษมาก ๆ จะหายใจไม่ค่อยออก ปอดบวม เกิดอาการกระตุกที่ปลายนิ้วมือและเท้า และอาจตายเนื่องจากระบบหายใจล้มเหลว
การแก้พิษ ถ้าถูกผิวหนังให้ล้างด้วยสบู่กับน้ำมาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ ถ้าพิษเกิดจากการกลืนกินเข้าไปและมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรให้ยาพวกซาไลน์ เช่น ดีเกลือ (epsom salt) แก่คนไข้ พร้อมกับให้กินยาอะโทรปินซัลเฟท ขนาด 1/100 เกรน 2 เม็ด แล้วนำส่งแพทย์ทันที สำหรับแพทย์ถ้าคนไข้มีอาการ ได้รับพิษสูงและรุนแรง อาจใช้อะโทรปิน ซัลเฟท ขนาด 1-2 มก. ฉีดแบบ IM ทุก 15 นาที จนกว่าอาการ atropinization จะปรากฏให้เห็น
ข้อควรรู้ - ระยะเวลาที่ใช้ก่อนการเก็บเกี่ยวกับพืชอาหาร ทิ้งระยะเก็บอย่างน้อย 14 วัน
- เป็นพิษต่อปลาสูง
- ออกฤทธิ์น๊อคหนอนได้เร็ว และมีฤทธิ์ตกค้างอยู่ได้นานเกือบ 10 อาทิตย์
เบ็นฟูราคาร์บ
(benfuracarb)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงคาร์บาเมท ออกฤทธิ์ในทางถูกตัวตายและกินตาย มีฤทธิ์ในทางดูดซึม โดยผ่านทางรากพืช เป็น cholinesterase inhibitor
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนู) 138 มก./กก. (สุนัข) 300 มก./กก. ทางผิวหนัง (หนู) มากกว่า 2,000 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด เพลี้ยกระโดด เพลี้ยอ่อน หนอนกระทู้ หนอนกอ บั่ว เพลี้ยจักจั่น หนอนม้วนใบ หนอนแมลงวัน ด้วง หนอนใบกะหล่ำ เพลี้ยไฟ เพลี้ยหอย และไส้เดือนฝอย
พืชที่ใช้ ข้าว อ้อย มันฝรั่ง ถั่วเหลืองข้าวฟ่าง ส้ม ฝ้าย ข้าวโพด ไม้ดอกและไม้ประดับทั่วไป
สูตรผสม 20% และ 30% อีซี , 3% G
อัตราการใช้และวิธีใช้ แตกต่างกันออกไปตามพืชที่ใช้ ควรศึกษาให้ละเอียดก่อนใช้ ใช้ผสมน้ำแล้วฉีดพ่นให้ทั่วใบพืช
อาการเกิดพิษ ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง ดวงตา เมื่อสัมผัสถูก ถ้ากลืนกินเข้าไปจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียน น้ำลายไหลฟูมปาก เหงื่อออกมาก กล้ามเนื้อบิดเกร็งกระตุก ตัวสั่นและหายใจลำบาก
การแก้พิษ ในกรณีที่เกิดพิษที่ผิวหนังให้ล้างด้วยสบู่กับน้ำมาก ๆ ถ้ากลืนกินเข้าไปให้รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ ให้ดื่มน้ำก่อน 1-2 แก้ว แล้วทำให้อาเจียนด้วยการใช้นิ้วล้วงคอ ถ้าคนไข้หมดสติอย่าทำให้คนไข้อาเจียนหรือให้สิ่งของใด ๆ ทางปากคนไข้ ถ้าหายใจเอาละอองไอเข้าไป ให้ย้ายคนไข้ไปอยู่ในที่มีอากาศบริสุทธิ์ สำหรับแพทย์ ห้ามใช้ยาพวกอ๊อกไซม์ (oximes) เช่น 2-PAM แต่ให้ใช้อะโทรปินซัลเฟท ขนาด 2 มก. ฉีดเข้าทางเส้นเลือด (IV) หรือฉีดใต้ผิวหนังก็ได้
ข้อควรรู้ - ไม่มีการจำหน่ายในอเมริกา
- เป็นอันตรายต่อปลาสูง อย่าปล่อยให้ปะปนกับน้ำในแม่น้ำลำคลอง
- เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง
เบนซัลแท็พ
(bensultap)
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลง ออกฤทธิ์ในทางสัมผัสและกินตาย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก (หนูตัวผู้) 1,105 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ด้วงมันฝรั่ง หนอนกอข้าว หนอนกระทู้ หนอนใยผัก หนอนชอนใบ ด้วงงวงเจาะสมอ เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน และแมลงอื่น ๆ
พืชที่ใช้ ข้าว ฝ้าย องุ่น ข้าวโพด มันฝรั่ง ไม้ผล พืชผักและพืชอื่น ๆ
สูตรผสม 50% ดับบลิวพี และ 4% จี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้อัตราตามคำแนะนำบนฉลาก ผสมกับน้ำกวนให้เข้ากันดีแล้วฉีดพ่นที่ใบให้ทั่วทั้งต้นเมื่อตรวจพบว่ามีแมลงศัตรูพืชกำลังทำลายพืชเพาะปลูก ใช้ซ้ำได้ตามความจำเป็น
ข้อควรรู้ - อาจทำให้ดวงตาและผิวหนังเกิดอาการระคายเคืองได้
- อย่าผสมกับสารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง
- ค่อนข้างจะปลอดภัยต่อปลา
- ไม่เป็น cholinesterase inhibitor
- หนอนที่ถูกตัวยาจะเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าและหยุดกินอาหารและตายในเวลาต่อมา
- ออกฤทธิ์ได้ช้า
เบ็นโซเมท
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดไรที่ออกฤทธิ์ในทางสัมผัสและมีฤทธิ์ตกค้าง
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน (acute oral LD 50) ทางปาก 15,000 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ไรชนิดต่าง ๆ ทั้งในระยะที่เป็นไข่และตัวแก่
พืชที่ใช้ ส้ม องุ่น และไม้ผลทั่วไป
สูตรผสม 20% อีจี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้อัตราตามคำแนะนำบนฉลาก ผสมกับน้ำกวนให้เข้ากันดีแล้วฉีดพ่นที่ใบให้ทั่วทั้งต้นเมื่อตรวจพบว่ามีไรรบกวนพืชที่ปลูก ใช้ซ้ำได้ตามความจำเป็น
ข้อควรรู้ - ค่อนข้างจะเป็นพิษต่อปลา แต่ไม่เป็นอันตรายต่อแมลงที่มีประโยชน์
- อย่าผสมกับ EPN หรือ Bordeaux
- ผสมได้กับสารกำจัดศัตรูพืชอื่น ๆ
ไบเฟนธริน
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดแมลงและไร
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน ทางปาก (หนู) 375 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ หนอนชอนใบ หนอนใยผัก หนอนเจาะสมอสีชมพู หนอนเจาะสมอฝ้าย ไรแดง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไฟ เพลี้ยไก่ฟ้า แมลงหวี่ขาว
พืชที่ใช้ ส้ม ฝ้าย มะเขือเทศมะเขืออื่นๆ กระถิน
สูตรผสม 10% อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ 10-30 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร
อาการเกิดพิษ ถ้าถูกผิวหนัง ดวงตา จะก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ถ้าสูดดมเขาไปจะมีอาการวิงเวียน คลื่นไส้ ตาพร่า และระบบหายใจระคายเคือง ถ้าได้รับปริมาณมากอาจมีอาการชักกระตุก หมดสติและเสียชีวิต
การแก้พิษ หากถูกผิวหนังต้องล้างด้วยน้ำกับสบู่ หากเข้าตาต้องล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง แล้วไปพบแพทย์ ถ้ากลืนกินเข้าไป ห้ามทำให้อาเจียน รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ทันที พร้อมด้วยฉลากวัตถุมีพิษ สำหรับแพทย์ ช่วยทำให้ผู้ป่วยหายใจสะดวก โดยการดูแสมหะและให้ออกซิเจน ทำการ้างท้องโดยใช้ endotracheal tube เพื่อป้องกัน chemical pneumonia และตามด้วย activated charcoal และยาถ่ายโซเดียมซัลเฟททางสายยาง หากผู้ป่วยมีอาการชักให้ใช้ยา diazepam 2-5 มก./IV หรือ IM รักษาตามอาการ
ไบนาพาคริล
การออกฤทธิ์ เป็นสารกำจัดไรประเภทดูดซึมและมีประสิทธิภาพในการกำจัดโรคราแป้งได้ด้วย
ความเป็นพิษ มีพิษเฉียบพลัน ทางปาก (หนู) 421 มก./กก.
ศัตรูพืชที่กำจัดได้ ตัวเต็มวัยและไข่ของไรชนิดต่าง ๆ
พืชที่ใช้ ฝ้าย ปอกะเจา ข้าวฟ่าง ถั่ว พริก แตง มะเขือ มะเขือเทศ ชา องุ่น มะม่วง ไม้ดอกและไม้ประดับทั่วไป
สูตรผสม 40 % อีซี
อัตราการใช้และวิธีใช้ ใช้อัตราตามคำแนะนำบนฉลาก ผสมกับน้ำแล้วฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืช
อาการเกิดพิษ อาจเกิดขึ้นภายหลังจากรับพิษโดยทางสัมผัส สูดดมหรือกินเข้าไป ทางปากเป็นเวลา 2 วัน โดยในระยะแรกจะมีอาการเป็นไข้ ความร้อนสูง เหนื่อยและไม่มีแรง กระหายน้ำ คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออกมาก หายใจลำบาก ในระยะหลังจะมีอาการมึนงง ตัวเขียวคล้ำเพราะขาดออกซิเจน กล้ามเนื้อตามตัวจะสั่นกระตุกและหมดสติ บางรายอาจมีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ตับไตเป็นแผล พร้อมกับมีอาการดีซ่านตามมา
การแก้พิษ ถ้าเป็นพิษที่เกิดจากการสัมผัส ให้ล้างด้วยน้ำกับสบู่มาก ๆ ถ้าเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ หรือจะใช้น้ำยาล้างตาไอโวโทนิคก็ได้ ถ้าเข้าปากหรือกลืนกินเข้าไปให้ล้างท้องคนไข้ทันทีด้วยการใช้ยาโซเดียมไบคาร์โบเนท 5% ถ้ายังล้างท้องไม่ได้ต้องทำให้คนไข้อาเจียนด้วยการใช้ยา syrup of IPECAC และถ่ายท้องโดยใช้ยา saline cathartics แล้วรักษาด้วยยา Phenobarbitol หรือรักษาตามอาการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น