วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปลวก ศัตรูสำคัญในสวนยางพารา



การกำจัดปลวก ศัตรูสำคัญในสวนยางพาราและบ้านพักอาศัย


ปัจจุบันนี้ภาครัฐได้ส่งเสริมการปลูกยางพาราทั่วทุกภาคของประเทศ จึงทำให้มีพืชอาหารชั้นดี ของปลวกอยู่ทั่วประเทศเช่นเดียวกัน  แม้ ว่าการปลูกยางพาราจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่เราควรจะปฏิบัติหรือจัดการต่อสวนยางพาราอย่างไรเพื่อให้มีต้นทุนการผลิต ที่ต่ำและได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าที่สุด ย่อมเป็นสิ่งที่ท้าทายทั้งมือเก่ารุ่นลายครามและมือใหม่หัดปลูก  และ ต้องยอมรับว่าสิ่งใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ทุกวัน ควบคู่ไปกับปัญหาใหม่ๆ ที่คอยติดตามทดสอบภูมิปัญญาของผู้คนทุกกลุ่มอาชีพ การมีความรู้ การสร้างสังคมแห่งความรู้ การเชื่อมต่อถึงกันบนพื้นฐานของการมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันของ ผู้คนที่มีอาชีพที่เกี่ยวกับยางพารา เช่น ปัญหาปลวกกัดกินรากยางพาราที่ลงปลูกใหม่ เชื่อได้ว่าปัญหาดังกล่าวสามารถพบเจอทุกภาคส่วนของประเทศ ฉะนั้นจะแก้อย่างไรให้ปลอดภัย ง่าย ลดต้นทุนได้ผลประโยชน์สูงสุด จะกล่าวถึงวิธีแก้ปัญหาเรามารู้จักกับปลวกกันก่อน
เรา มักพบเห็นจอมปลวก ขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างกระจายอยู่ทั่วไป เคยสงสัยไหมว่าปลวกมีวงจรชีวิตเช่นใดภายในกองดินอันแข็งแกร่ง จอมปลวกหรือรังของปลวกถือเป็นอาณาจักรของแมลงที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากที่ สุด  รังปลวกบางพันธุ์ในทวีปแอฟริกามีความสูงเหนือพื้นดินถึง 6 เมตร มีอุโมงค์เชื่อมต่อใต้ดินครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 5 ไร่ และมีปลวกอาศัยอยู่รวมกันประมาณ 5 ล้านตัว รังของปลวกที่มีลักษณะเป็นกองดินขนาดใหญ่ในบ้านเรามักเป็นปลวกในสกุล Macrotemes ปัจจุบันทั่วโลกค้นพบปลวกแล้วไม่ต่ำกว่า 1,800 ชนิด 200 สกุล สำหรับประเทศไทยพบว่ามีปลวกอยู่นับร้อยชนิด ซึ่งปลวกแต่ละชนิดต่างมีกลวิธีและรูปแบบในการสร้างรังไม่เหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะมีขนาดมหึมาราวหอคอยหรือเล็กเพียงแค่เนินดิน ปลวกจำนวนมากมายในแต่ละรังจะแบ่งออกได้เป็น 3 วรรณะคือ
ปลวก งาน ผู้คอยวิ่งวุ่นทำงานทุกอย่างภายในรัง เริ่มตั้งแต่ตอนก่อสร้างจอมปลวก ซ่อมแซมรังถ้ามีการสึกหรอ ดูแลรักษาไข่ของนางพญาไปจนถึงการหาอาหารมาเลี้ยงดูปลวกในวรรณะอื่น ถัดมาคือ ปลวกทหาร ซึ่งมีรูปร่างทะมัดทะแมงมีส่วนหัวและกรามใหญ่โตกว่าส่วนอื่น เพื่อใช้เป็นอาวุธในการออกรบ ปลวกทหารจะเป็นผู้ต้อนรับด่านแรกหากมีผู้บุกรุกเข้ามาภายในจอมปลวก และปลวกในวรรณะสุดท้ายได้แก่ ปลวกสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นพวกเดียวที่มีโอกาสเจริญเติบโตจนสามารถผสมพันธุ์และวางไข่ได้ และเชื่อไหมว่าภายในจอมปลวกหนึ่ง ๆ ซึ่งมีปลวกนับหมื่นนับแสนตัวล้วนถือกำเนิดมาจากนางพญาปลวกเพียงตัวเดียว (14 ฟอง ในทุก 3 วินาที )ใน ช่วงเวลาไม่กี่เดือนประชากรปลวกก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับการสร้างจอมปลวกเริ่มขึ้นโดยปลวกงานจะช่วยกันกัดดินและขนดินมาทีละ ก้อน แล้วใช้น้ำลายเป็นตัวเชื่อมติด ค่อย ๆสร้างผนังจอมปลวกแน่นหนาขึ้นทีละน้อย โดยมีปลวกทหารคอยทำหน้าที่รักษาปลอดภัยไม่ให้ศัตรูมารบกวน(มด) ซึ่งจะสร้างห้องนางพญา ห้องเก็บรักษาไข่ปลวกงานส่วนหนึ่งทำการขุดช่องระบายอากาศเพื่อให้ภายในจอม ปลวกเย็นสบายอยู่ตลอดเวลา ตลอดจนขุดอุโมงค์ใต้ดินสู่ภายนอกเพื่อใช้หาเสบียงอาหารอันได้แก่ เศษไม้ ใบหญ้า ความจริงแล้วปลวกไม่สามารถย่อยไม้ได้เองอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นเชื้อโปรโตซัวซึ่งอาศัยอยู่ในกระเพาะของมันที่ช่วยย่อยเซลลูโลสให้ กลาย เป็นสารอาหาร ปลวกงานจะนำเชื้อราที่ได้จากการย่อยมาสร้างเป็นสวนเห็ดขึ้นภายในจอมปลวก เพื่อลดภาระในการออกหาอาหาร สำหรับปลวกที่กัดกินทำลายไม้สดหรือรากยางพารานั้น คือ ปลวกงานหรือคอปโตเทอเมส เซอวิคนาตัส (Coptotermes curvignathus)พบ เข้าทำลายกัดกินส่วนรากของต้นยางที่มีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะบริเวณโคนต้นใต้ผิวดินต่อไปภายในลำต้นจนเป็นโพรง ระยะนี้ต้นยางจะแสดงอาการใบเหลือง ต่อมาเมื่อระบบรากถูกทำลาย เป็นส่วนมากต้นยางจะตายในที่สุด ส่วนมากจะยืนต้นตายอย่างรวดเร็ว การระบาดของปลวกสังเกตได้จากต้นยางที่แสดงอาการใบผิดปกติ จะลุกลามออกไปยังต้นข้างเคียงค่อนข้างรวดเร็ว ในระยะเวลาอันสั้น โดยที่เจ้าของสวนไม่สามารถมองเห็นโพรงที่ปลวกทำลายตามส่วนต่าง ๆ ภายนอกได้เลย ถ้าไม่ขุดดินบริเวณโคนต้นดู หรือลมพัดต้นยางล้ม
การใช้สารเคมีกำจัดนั้น  ได้ผลเพียงในระยะสั้น(2-3 อาทิตย์) เมื่อสารเคมีหมดฤทธิ์ ปลวกก็จะเข้าทำลายใหม่  อีกทั้งยังเป็นการสิ้นเปลือง เพิ่มต้นทุนให้เกษตรกรอย่างมาก   ดังนั้นวิธีที่แนะนำ และสามารถการควบคุมและกำจัดประชากรของปลวก ได้ผลดีในระยะยาวที่สุด  ก็คือ การใช้จุลินทรีย์ เมทา-แม็ก (เชื้อรา)กำจัดปลวก  คลุกผสมกับปุ๋ยคอก (มูลโค มูลไก่ ฯลฯ ) และแกลบสุกในอัตรา 1 กก. ต่อ 50 กก. ต่อ 20 กก. ตามลำดับ ระหว่างผสมให้ฉีดพรมน้ำเพิ่มความชื้น(ให้ความชื้นประมาณ 40-50%) เพื่อกระตุ้นการขยายของเชื้อให้เพิ่มปริมาณ มากขึ้น หมักหรือห่มทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน (24 ชั่วโมง) ก่อนนำไปหว่านหรือใส่ถุงกระดาษหรือกระบอกไม้ไผ่แห้งแล้วนำไปฝังดินไว้เป็น จุด ๆ รอบบริเวณโคนต้นยางพารา โดยขุดหลุมให้ลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร แล้วกลบด้วยดินที่ขุดขึ้นมาอย่างหลวม ๆ (ไม่กดดินจนแน่น) ตัวปลวกที่อยู่ในดินจะออกมากินถุงกระดาษและราเขียวที่อยู่ในถุง ทำให้เชื้อราเขียวติดไปกับตัวปลวกเข้าสู่ภายในรังปลวกและสามารถเข้าทำลายตัว ปลวกให้ตายหมดทั้งรัง การใช้ราเขียวจำเป็นต้องหยุดสารเคมีหรือเคมีที่มีฤทธิ์ทำลายเชื้อรา ในระยะแรก ๆ ยังเห็นผลไม่ชัดเจน ควรกระทำซ้ำๆ 2-3 ครั้ง ห่างกันประมาณ 2-3 สัปดาห์ครั้ง   หลังจากนั้นก็สามารถลดการใช้เหลือเพียงกาใช้ เมทา-แม็ก ควบคุมทุก ๆ 6 เดือน- 1 ปี
เมทา-แม็ก ยังสามารถใช้ผสมน้ำ ฉีดพ่นโดยตรงที่ตัวปลวกหรือที่รังปลวกได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น