วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554

การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตในยางพารา

           การปลูกยางพาราในปัจจุบันนั้น  สามารถสร้างกำไรให้เกษตรกรได้มากกว่าในอดีตหลายเท่าตัว  แต่สิ่งสำคัญในการวางแผนหรือจัดการเรื่องการผลิตเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ น้ำยางคุณภาพดี และให้ในปริมาณมากอย่างสม่ำเสมอ  ซึ่งบางแปลงใช้ปุ๋ยเคมีอย่างหนักเพื่อเร่งปริมาณน้ำยาง โดยหารู้ไม่ว่า ผลผลิตยางที่ได้จากการใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว ถึงปริมาณน้ำยางมากแต่เปอร์เซ็นต์เนื้อยาง(ความหนาแน่น)ที่ได้ จะต่ำกว่าแปลงที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ อีกทั้งต้นทุนยังสูงกว่าด้วย  หรือเกษตรกรบางส่วนที่ยังขาดความรู้ โดนกระแสแรงโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ  รวมถึงการทำตลาดที่ผิดจรรยาบรรณ  ทำให้เกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนการตลาดของปุ๋ยแทนที่จะได้ปุ๋ยที่มีคุณภาพเต็มเม็ดเต็มหน่วย  กลับได้ปุ๋ยที่มีคุณภาพแค่คำโฆษณา  จนทำให้ต้นยางที่ปลูกมีปัญหาต่าง ๆ มากมาย ทั้งเรื่องรากเน่าโคนเน่า, หน้ายางตาย, น้ำยางไม่ได้คุณภาพ  สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบกับรายได้ของเกษตรกรโดยเฉพาะกลุ่มที่ตื่นกระแสโฆษณา  ทำให้ผลผลิตที่ได้ลดต่ำลงเรื่อย ๆ  จนสุดท้ายแล้วกลายเป็นกรีดยางส่งค่าปุ๋ย  ได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า  ดังนั้น การจะใช้สินค้าอะไรก็ตาม  อดีตเกษตรกรอย่างนายยักษ์เขียว จะนึกถึงก่อนซื้อเสมอ คือ
1. คุณภาพเทียบกับราคาขาย
2.ต้นทุนที่มากับสินค้าที่เราจะใช้เสมอ ๆ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนค่าโฆษณา ค่าบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ (ซึ่ง ผู้ใช้คือผู้จ่าย)
3. ความจริงใจของผู้ขาย ว่าโฆษณาบนหลักของความจริงหรือไม่ (ประเภท "เขียวคามือ" อันนี้ได้มาจากเพื่อนเกษตรกรเล่าให้ฟัง)
4. ผลดีและผลเสียกับต้นไม้ที่ได้ในระยะยาวเมื่อใช้สินค้า ว่าคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เกษตรกรอย่างเราต้องตากแดดตัวดำหา มาหรือไม่ 
เอาแค่ 4 ข้อนี้ เราก็สามารถเลือกสิ่งดี ๆ ให้ต้นไม้ที่เราฟูมฟักได้แล้ว  ตอนนี้มาเข้าเรื่องเทคนิคการลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตในยางพาราเลยดีกว่า
 (นายยักษ์เขียว)

ที่มา : www.phkaset.com
1. การกำจัดวัชพืช
      1. ไถและพรวนดินอย่างน้อย 2 ครั้งก่อนปลูก
      2. ใช้แรงงาน ขุด ถาก ดาย หรือตัดวัชพืชที่ขึ้นในแถวยาง และควรทำก่อนวัชพืชออกดอก
      3. ใช้วัสดุคลุมดิน โดยนำวัสดุเหลือใช้ต่าง ๆ เช่น เปลือกถั่ว ฟางข้าว ซังข้าวโพด หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ เป็นต้น คลุมโคน ต้นยางเฉพาะต้น หรือตลอดแถว เว้นระยะพอควรไม่ชิดโคนต้นยาง
      4. ปลูกพืชคลุมดินตระกูลถั่ว ได้แก่ คาโลโปโกเนียม เซนโตรซิมา เพอราเรีย และซีรูเลียม ห่างจากแถวยางประมาณ 2 เมตร
 
2. การปลูกพืชคลุม
          การปลูกพืชคลุมดินระหว่างแถวยางเป็นวิธีหนึ่งที่ควบคุมการเจริญเติบโตของวัชพืช และลดการชะล้างและพังทลายของ ดิน เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ตลอดจนสามารถปรับปรุงโครงสร้างและเพิ่มธาตุอาหารในดินด้วย ใน โดยช่วงแรกของการปลูกอาจปลูกพืชอื่นแทนพืชคลุมดิน อาทิ พืชผักหรือไม้ผลที่มีอายเก็บเกี่ยวสั้นระหว่างช่องว่างของต้นยางได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผักกินใบ เช่น ผักกาดหอม,หอมแบ่ง,ถั่ว,ฯลฯ หรือ ไม้้ผล เช่น กล้วยน้ำว้า,ฯลฯ  แต่ต้องระมัดระวังหมั่นควบคุมป้องกันในเรื่องของแมลงศัตรูและโรค ซึ่งอาจกระทบกับยางพาราด้วย

3.  การใช้ปุ๋ยในสวนยาง
          การใส่ปุ๋ยยางพาราก่อนเปิดกรีด
                   ปุ๋ยยางพาราก่อนเปิดกรีด คือ ปุ๋ยที่ใส่ตั้งแต่เริ่มปลูกจนต้นยางได้ขนาดกรีด ปุ๋ยที่ใช้ ได้แก่ ปุ๋ยรองก้นหลุม  และ ปุ๋ยบำรุง
          ปุ๋ยรองก้นหลุม เป็นปุ๋ยที่เร่งให้รากงอกและแผ่ขยายเร็ว ปุ๋ยรองก้นหลุมที่แนะนำใช้ในสวนยางได้แก่ ปุ๋ยหินฟอสเฟต (0-3-0) ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ยักษ์เขียว(แถบเขียว) วิธีใส่ ปุ๋ยรองก้นหลุม โดยขุดดินแยกเป็น 2 ส่วนคือ ดินชั้นบนและดินชั้นล่าง ใช้ดินบนกลบลงในหลุมก่อน ส่วนดินล่างใช้คลุกกับปุ๋ยหิน ฟอสเฟต อัตรา 170 กรัมต่อหลุม + ปุ๋ยอินทรีย์ยักษ์เขียว สูตร 2 อัตรา 1 กิโลกรัม ผสมดินก้นหลุม ซึ่งจะมีผลทำให้ต้นยางมีอัตราการรอดตายสูงและการเจริญเติบโตในช่วงแรกดีขึ้น
          ปุ๋ยบำรุง  เป็นปุ๋ยที่ใส่เพื่อเร่งให้ต้นยางเจริญเติบโตเร็ว สามารถเปิดกรีดได้เร็วขึ้นและให้ผลผลิตสูง ปุ๋ยบำรุงที่แนะนำ ใช้ในสวนยางก่อนเปิดกรีด จำนวน 2 สูตร คือ
                   
สูตร 20-8-20 สำหรับดินทุกชนิดในเขตปลูกยางเดิม
                   
สูตร 20-10-12 สำหรับดินทุกชนิดในเขตปลูกยางใหม่
            ในกรณีที่ต้องการลดต้นทุนปุ๋ยเคมี สามารถใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียว ทดแทนปุ๋ยเคมีได้ โดยใส่ในอัตราดังในตาราง  จะช่วยลดต้นทุนปุ๋ยเคมีได้ประมาณ 20-50 เปอร์เซ็นต์  โดยจะทำให้สามารถให้น้ำยางได้ดีมากกว่าและอายุการให้น้ำยางของต้นนานกว่า ต้นไม่โทรม หมดปัญหาหน้ายางตาย เนื่องจากยักษ์เขียว มีธาตุอาหารที่ครบถ้วนกว่า และปลดปล่อยธาตุอาหารได้ต่อเนื่องและยาวนานกว่าปุ๋ยเคมี และยังทำให้สภาพดินดีขึ้น
          สำหรับช่วงยางต้นเล็ก  อาจฉีดพ่นด้วย ไบโอเฟอร์ทิล สูตรบำรุงต้น(ฝาแดงหรือฝาเขียว) เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ทำให้ต้นแข็งแรงเจริญเติบโตได้ดี ทนแล้ง และยางสามารถเปิดกรีดได้เร็วขึ้น


 ระยะเวลา และอัตราการใส่ยักษ์เขียวที่ใช้กับต้นยางก่อนเปิดกรีด
ปีที่
อายุต้นยาง (เดือน)
เขตปลูกยางเดิม
เขตปลูกยางใหม่
ปุ๋ยอินทรีย์  ยักษ์เขียว
(กรัม/ต้น)**
ปุ๋ยอินทรีย์  ยักษ์เขียว
(กรัม/ต้น)**

ดินร่วนเหนียว
ดินร่วนทราย
ดินทุกชนิด


1
2
5
11
200
200
260
250
280
340
200
200
250


2
14
16
23
300
300
300
400
400
400
250
250
300

3
28
36
430
430
500
500
360
360

4
40
47
500
500
650
650
440
440

5
52
59
550
550
800
800
540
540

6
64
71
800
800
1000
1000
700
700

**100 กรัม = 1 ขีด(1 กำมือ)
          ในขณะที่ต้นยางยังเล็กควรใส่ปุ๋ยบริเวณรอบโคนต้นยางในรัศมีทรงพุ่มใบ (อาจฉีดเสริมด้วย ไบโอเฟอร์ทิล  เพื่อเร่งการเจริญเติบโต  ช่วยทำให้ต้นให้น้ำยางได้เร็วขึ้น)  หลังจากนั้นเมื่อต้นยางอายุ 2 ปีขึ้นไป ใส่เป็นแถบ 2 ข้าง ในบริเวณระหว่างแถวยางตามแนวทรงพุ่มของต้นยาง โดยวิธีคราดกลบให้ปุ๋ยอยู่ใต้ผิวดิน หรือขุดหลุมลึกประมาณ 15-30  เซนติเมตร(1 หน้าจอบ) จากผิวดิน จำนวน 2 หลุมต่อต้น
การใส่ปุ๋ยยางพาราหลังเปิดกรีด
                การใส่ปุ๋ยให้แก่ต้นยางที่เปิดกรีดแล้ว แนะนำให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว อัตรา 2-4 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี แบ่งใส่ 2 ครั้ง ๆ ละ 1-2 กิโลกรัมต่อต้น ครั้งแรกใส่ในต้นฤดูฝนหลังจากยางผลัดใบ ขณะที่ใบเพสลาด คือ ประมาณปลายเดือนเมษายน - พฤษภาคม และครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ย ประมาณเดือนสิงหาคม -กันยายน โดยหว่านปุ๋ยในบริเวณห่างจากโคนต้นยางประมาณ 3 เมตร หรือบริเวณกึ่งกลางระหว่างแถวยาง คราดกลบให้ปุ๋ยอยู่ใต้ผิวดินที่ ระดับความลึกประมาณ 5 – 10 เซนติเมตร  โดยในช่วงก่อนเปิดกรีดประมาณ 7-10 วัน ให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 20-8-20 หรือ 16-16-16  ทับหน้าบาง ๆ ในอัตรา  200 กรัมต่อต้น(2 กำมือ)  ก็จะทำให้ได้ผลผลิตน้ำยางมากและสม่ำเสมอตลอดช่วงการเปิดกรีด
เทคนิคการเพิ่มน้ำยางและการทำให้หน้ายางนิ่ม
          ในการกรีดยางนั้น หากต้องการน้ำยางเพิ่ม และรักษาให้หน้ายางนิ่มอยู่เสมอ แนะนำให้ใช้ ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรไล่แมลง หรือ สูตรเร่งขนาดผล,หัว) ปริมาณ 6 ส่วนผสมน้ำ อีก 4 ส่วน  ฉีดพ่นบริเวณที่เปิดกรีด ทุก ๆ 3-5 วัน จะทำให้ได้น้ำยางมากขึ้น หน้ายางนิ่ม กรีดง่าย
การแก้ปัญหารากเน่า โคนเน่า
          เรื่องที่สำคัญซึ่งเป็นผลพวงจากการใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินไป หรือการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ปลอม(ที่ใช้เคมีมาผสม) บ่อย ๆ ก็ คือ  ปัญหาเรื่องดินเสื่อมสภาพ ทำให้รากดูดซึมปุ๋ยได้น้อย  ให้ผลผลิตน้อย และเกิดปัญหารากเน่าตามมา เนื่องจากดินเสียสภาพไปจากเดิมที่เคยเป็น  ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเกิดกับพื้นที่ที่ปลูกยางมานาน  โดยขาดการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ใส่แต่ปุ๋ยเคมี ก็จะประสบปัญหานี้มาก  ซึ่งหากต้นเป็นโรคแล้วต้องรีบแก้ไขทันที เพราะโรคนี้สามารถระบาดในแปลงได้รวดเร็ว 
การแก้ไขเฉพาะหน้า(เร่งด่วน)  สำหรับต้นที่เป็นโรคแล้วทำได้โดย  ใช้ เมธาแล็กซิล + แมนโคเซป  อัตรา 40+40 กรัมผสมน้ำ 5-10 ลิตร  ราดบริเวณรากโดยรอบของต้นให้ทั่ว  โดยใช้ติดต่อกันประมาณ 2 ครั้ง ห่างกัน 7-10 วัน  จากนั้นประมาณ 15 วันให้ใช้  ชีวภัณฑ์กำจัดโรคพืช ไตรโคแม็ก  อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ  20 ลิตร  ราดบาง ๆ  บริเวณรากหรือทั่วพื้นที่  ทุก ๆ  3 เดือน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันการเข้าทำลายและกลับมาเป็นซ้ำ
การป้องกันที่ต้นเหตุ(สำหรับทั้งพื้นที่ใหม่และเก่ารวมถึงพื้นที่ ที่ประสบปัญหา)  สาเหตุหลัก ๆ ซึ่งเกิดในทุกพื้นที่ ก็คือ การใช้ปุ๋ยเคมีบ่อยเกินไป โดยขาดการใส่ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อบำรุงต้น  ซึ่งปุ๋ยเคมีนั้น  โดยคุณสมบัติจะช่วยกระตุ้นและเป็นแหล่งอาหารให้พืชก็จริงอยู่ แต่ก็มีผลเสียเช่นกัน โดยเมื่อใส่เป็นประจำ จะทำให้ดินมีสภาพเป็นกรดจัด  มีเกลือสะสมมาก  จนเป็นสาเหตุให้ดินเสื่อมสภาพ กระด้าง  จนรากพืชไม่สามารถดูดซึมอาหารและเนื้อปุ๋ยไปใช้ได้และหากตกค้างมากก็ยังเป็นพิษกับรากพืชอีกด้วย  ดังนั้น การใส่ปุ๋ยให้ต้นยาง จึงควรเน้นที่ปุ๋ยอินทรีย์แท้(ไม่ปนเคมี)  เป็นหลักแล้วเสริมปุ๋ยเคมีเพื่อกระตุ้นในบางช่วงก็เป็นการเพียงพอแล้ว  ดังแนวทางที่กล่าวไว้ในข้อ 1  ก็จะทำให้ต้นยางมีสภาพสมบูรณ์  ปัญหาเรื่องโรคน้อย และยังเป็นการประหยัดต้นทุนลงจากเดิมได้อีกด้วย
การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช  สำหรับยางเล็กที่ยังไม่เปิดกรีด  ช่วงแรกอาจพบมีการระบาดของแมลงศัตรูพืช และในต้นที่เปิดกรีดแล้ว(โดยเฉพาะปลวก) แนะนำให้ใช้ ชีวภัณฑ์ป้องกันและกำจัดแมลง "เมทา-แม็ก" ซึ่งสามารถป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูได้หลายชนิด(ดูรายละเอียดตามฉลาก)  ผสมน้ำในอัตรา  50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร  ฉีดพ่นทุก ๆ 10-15 วัน หรือฉีดพ่นเมื่อพบมีว่ามีการเข้าทำลาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น